เนื้อหาสาระข่าว: กฎหมายแห่งรัฐฟลอริดาฉบับใหม่มีชื่อว่า Florida Kratom Consumer Protection Act ผ่านความเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2023 โดยได้ห้าม “จำหน่าย จัดส่ง แลกเปลี่ยน หยิบยื่น ทั้งทางตรงและทางอ้อม” ซึ่งผลิตภัณฑ์จากกระท่อมแก่บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 21 ปี บรรดากิจการที่เกี่ยวข้องจะต้องปฏิบัติตามระเบียบของกระทรวงเกษตรและบริการผู้บริโภคแห่งรัฐฟลอริดาโดยจะต้องมีการตรวจสอบอายุของผู้ซื้อเช่นเดียวกับที่มีการบังคับใช้อยู่สำหรับผู้ซื้อสุราและยาสูบ ใบกระท่อมนี้เป็นผลผลิตจากต้นกระท่อมที่มีแหล่งกำเนิดอยู่ในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่อันตรายได้ สหรัฐฯ และหน่วยงานนานาชาติได้แสดงความกังวลด้านความปลอดภัยของใบกระท่อม โดย FDA ก็ได้ออกคำเตือนไม่ให้ผู้บริโภคนำมาใช้โดยอ้างถึงผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ หน่วยปราบปรามยาเสพติดของสหรัฐฯ (Drug Enforcement Administration – DEA) เห็นว่าใบกระท่อมนี้ เป็น “ยาและสารเคมีที่น่ากังวล” เพราะมีคุณสมบัติที่ทำให้เกิดการเสพติดได้ รวมถึงกรณีที่ก่อให้เกิดอาการทางประสาทด้วย ซึ่งวัตถุประสงค์หลักของกฎหมายใหม่นี้ก็เพื่อส่งเสริมความปลอดภัยและสุขภาพของเยาวชนในฟลอริดา และหากฝ่าฝืนจะต้องรับโทษทางอาญาแบบลหุโทษและมีโทษจำคุกด้วย
บทวิเคราะห์: ด้วยเหตุที่รัฐบาลกลางไม่ได้มีกฎหมายที่ชี้ชัดว่ากระท่อมคือสิ่งผิดกฎหมาย ใครๆ ก็หาซื้อผลิตภัณฑ์จากใบกระท่อมในสหรัฐฯ นี้ได้ ทั้งทางออนไลน์ ร้านยาสูบ ร้านจำหน่ายอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ หรือแม้แต่ในตลาดสินค้าการเกษตร ซึ่งในเมื่อหาง่ายขนาดนี้ หลายๆ คนจึงมีคำถามว่า การใช้ผลิตภัณฑ์จากใบกระท่อมนี้ ปลอดภัยหรือไม่ และเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายหรือไม่ ซึ่งถ้าหากไปถามผู้ผลิตยาในสหรัฐฯ ก็มักจะได้คำตอบว่า ผลิตภัณฑ์จากใบกระท่อมนั้นแม้จะเป็นที่ยอมรับกันว่ามีสรรพคุณเป็นเหมือนยาที่มีประโยชน์อยู่มาก แต่ก็ถือว่าเป็นสารเสพติดชนิดหนึ่งซึ่งประโยชน์ที่ได้นั้น อาจไม่คุ้มหากเทียบกับความเสี่ยงอันตรายที่มี ส่วนในเรื่องที่ว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมายหรือไม่ คำตอบก็คือมีบางรัฐที่ถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แม้ประโยชน์ที่มีจะเป็นที่ยอมรับกัน แต่ความเสี่ยงอันตรายก็มีในหลายๆ รูปแบบ อาทิ ใบกระท่อมนั้นเป็นพืช ดังนั้นสารต่างๆทั้งที่มีประโยชน์และโทษในใบกระท่อมจากแต่ละแหล่งเพาะปลูกก็จะมีมากน้อยแตกต่างกันไป ทำให้เป็นการยากที่จะประมาณระดับการใช้ให้เหมาะสมตรงกับปริมาณที่ทำให้เกิดผลในทางการรักษาอาการในเฉพาะบางกรณี จึงมีความเสี่ยงที่จะได้รับสารที่ไม่พึงประสงค์ไปด้วยในปริมาณที่ควบคุมไม่ได้ จนอาจทำให้ได้รับสารที่มีอันตรายเกินขนาด และอาจทำให้เกิดอาการชัก ประสาทหลอน หนาวสั่น อาเจียน ตับเป็นพิษหรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ หน่วยปราบปรามยาเสพติดของสหรัฐฯ (DEA) เคยใช้อำนาจในการยับยั้งการแพร่กระจายของสิ่งเสพติดเป็นกรณีฉุกเฉินครั้งหนึ่งในเดือนสิงหาคม 2016 โดยได้ประกาศให้กระท่อมเป็นสิ่งเสพติดประเภท 1 ชั่วคราว แต่ได้พบกับแรงต่อต้านรุนแรง รวมถึงมีการประท้วงหน้าทำเนียบขาว โทรศัพท์หาบรรดาสมาชิกสภาคองเกรส และยื่นคำร้องของความเป็นธรรมต่อประธานาธิบดีโดยมีผู้ลงนามมากกว่า 100,000 ราย จนสมาชิกสภาฯ ต้องออกมาประกาศยกเลิกคำสั่งของ DEA ดังกล่าวไปในเดือนตุลาคม 2016 การที่รัฐบาลกลางของสหรัฐฯ ไม่ได้มีกฎหมายหรือระเบียบใดๆ มาควบคุมใบกระท่อม ทำให้ไม่มีองค์กรภาครัฐใดๆ เป็นเจ้าภาพในการตรวจสอบและควบคุมการใช้ใบกระท่อม จึงได้มีกลุ่มผู้สนับสนุนการใช้ผลิตภัณฑ์จากใบกระท่อมอยู่ทั่วไป ซึ่งกลุ่มใหญ่ที่สุดก็คือ Kratom Consumer Protection Act (KCPA) จะคอยพยายามเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องให้ใบกระท่อมยังเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายอยู่ได้ ด้วยการประสานให้บรรดาหน่วยงานและบุคคลที่มีอำนาจออกกฎหมายและระเบียบต่างๆ ตั้งกฎเกณฑ์ที่เห็นว่าเหมาะสม เพื่อให้มีการตรวจสอบและควบคุมได้ดียิ่งขึ้น
ข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ: ดังที่ได้เคยเสนอไปแล้วในเดือนก่อนนี้ว่า ผลิตภัณฑ์จากใบกระท่อม ซึ่งแม้จะมีผู้ใช้กันอย่างกว้างขวางด้วยสรรพคุณทางยานานัปการ แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามีฤทธิ์ในลักษณะเดียวกันกับยาฝิ่น และมีหลายๆ หน่วยงานภาครัฐในสหรัฐฯ ที่ต่างก็จับตาผลข้างเคียงที่มีความร้ายแรงในระดับต่างๆ จากเบาไปถึงหนัก และด้วยคุณลักษณะของใบกระท่อมเองประกอบกับการใช้งานใบกระท่อมในลักษณะพืชสมุนไพร ซึ่งมักใช้งานแบบง่ายๆ ด้วยการนำใบสดหรือแห้งมาใช้โดยตรง ไม่ได้มีการกำหนดขนาดหรือปริมาณของสารออกฤทธิ์ในใบกระท่อมที่ชัดเจน และด้วยเหตุที่สามารถเสพติดได้ การนำมาใช้จึงมีความเสี่ยงที่จะได้รับสารออกฤทธิ์ดังกล่าวเกินขนาดและได้รับอันตราย เคยได้ยินจากหลายๆ ท่านว่า ใบกระท่อม ในประเทศไทยมีสารที่ต้องประสงค์สูงมากกว่าปริมาณปกติทั่วๆ ไปในใบกระท่อมจากแหล่งผลิตอื่นๆ ประเด็นนี้น่าจะทำให้มีผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากใบกระท่อมในหลายๆ ประเทศสนใจ จะจริงเท็จเพียงใดนั้น คงต้องพิสูจน์กันผ่านห้องปฏิบัติการทางเคมี เพื่อสกัดสารต่างๆ แล้วนำมาทำเป็นสถิติกันไว้ จากที่เคยพูดคุยกับผู้จัดจำหน่ายฯ ในสหรัฐฯ ก็ได้เคยรับทราบมาว่ากระบวนการเลือกใช้แหล่งผลิตนั้นก็จะต้องเริ่มด้วยการตรวจสอบเพื่อวัดปริมาณสารต่างๆ ในใบกระท่อมกันก่อนโดยห้องแลบฯ ที่เขาเชื่อถือแน่ๆ อยู่แล้ว ซึ่ง สคต. ไมอามีอยากแนะนำให้ผู้ผลิตในไทยทุกท่านจับคู่กับผู้จัดจำหน่ายที่ดำเนินธุรกิจสายนี้มานานแล้วและรู้เส้นสนกลนัยในเรื่องกฎระเบียบต่างๆ ดีอยู่แล้วเท่านั้น และในขณะนี้ ก็กำลังคัดสรรมองหาผู้ซื้อเป้าหมายที่มีคุณสมบัติดังกล่าวอยู่เพราะมีแผนที่จะพยายามจัดให้มีการจับคู่ธุรกิจใบกระท่อม
********************************************************* ที่มา: MSN เรื่อง: “Law that went into effect July 1, 2023, makes it illegal to sell kratom to those under 21” โดย: Carrie Horstman, Administrator, Polk County Sheriff's Office สต. ไมอามี /วันที่ 7 กรกฎาคม 2566