ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ แนวคิดการกินดื่มเพื่อสุขภาพได้ถือกำเนิดขึ้นในจีนและนับวันพบว่ายิ่งมีผู้บริโภคหันมาเลือกทานอาหารมังสวิรัติกันมากขึ้น โดยปัจจุบันจีนมีผู้รับประทานอาหารมังสวิรัติมากกว่า 50 ล้านคน นอกจากนี้ยังมีกลุ่มที่เลือกทานมังสวิรัติเป็นบางช่วงด้วย ขณะที่จำนวนร้านอาหารมังสวิรัติในจีนแผ่นดินใหญ่พบว่ายังมีสัดส่วนค่อนข้างต่ำ และมีอัตราร้านมังสวิรัติต่อประชากร 100,000 คน ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน แสดงให้เห็นว่าอาหารมังสวิรัติในจีนแผ่นดินใหญ่มีโอกาสในการเติบโตอีกมาก แกำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้น มีศักยภาพในการพัฒนาในอนาคตค่อนข้างสูง และมีการคาดการณ์ว่ามีโอกาสเติบโตถึงหลายสิบเท่า

 

ปัจจัยที่ทำให้ชาวจีนเลือกรับประทานอาหารมังสวิรัติมากที่สุด ได้แก่ ปัจจัยด้านสุขภาพร่างกาย ร้อยละ 67.9 รองลงมา ได้แก่ ปัจจัยตามความเชื่อทางศาสนา ร้อยละ 8.7 และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและการคุ้มครองสัตว์ ร้อยละ 13.5 นอกจากนี้ เพศยังมีความเกี่ยวข้องกับเหตุผลในการทานมังสวิรัติด้วย โดยพบว่าเพศหญิงร้อยละ 63.5 และผู้ชายร้อยละ 72.9 เลือกทานมังสวิรัติด้วยเหตุผลทางสุขภาพ มีผู้หญิงร้อยละ 12.4 และผู้ชายร้อยละ 4.4 เลือกรับประทานมังสวิรัติจากปัจจัยตามความเชื่อทางศาสนา และมีผู้หญิงร้อยละ 15 และผู้ชายร้อยละ 11.8 เลือกรับประทานมังสวิรัติจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและการคุ้มครองสัตว์

 

รายงานวิจัยฉบับหนึ่งของมหาลัยฮาร์วาร์ด เปิดเผยว่า การกินเนื้อแดงและเนื้อสัตว์แปรรูปมากเกินไปสามารถเพิ่มความน่าจะเป็นของมะเร็งเต้านมในผู้หญิงมากกว่า 2 เท่า และในปี ค.ศ. 2015 องค์การอนามัยแห่งสหประชาชาติได้เผยแพร่การศึกษาที่ระบุว่าเนื้อสัตว์แปรรูปเป็นสารก่อมะเร็งชั้นหนึ่ง เนื่องจากมีหลักฐานเพียงพอว่าการกินเนื้อสัตว์แปรรูปนำไปสู่ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของมะเร็งลำไส้ใหญ่และกระเพาะอาหาร นอกจากนี้ ยังพบว่าจีนมีประชากรคนอ้วนกว่า 600 ล้านคน และคาดการณ์ว่าในปี ค.ศ. 2030 จีนจะมีประชากรคนอ้วนมากกว่า 1,290 ล้านคน สอดคล้องกับการเติบโตของตลาดอาหารเบาสำเร็จรูป (อาหารเบาคืออาหารที่เรียบง่าย มีส่วนผสมและวิธีการปรุงที่เรียบง่ายมีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น แซนวิช สลัด เป็นต้น) ที่ได้รับความนิยมมากในจีนที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงทำให้มีการคาดการณ์ว่า แนวคิดอาหารสำเร็จรูปประเภทอาหารมังสวิรัติคุณภาพสูงจะมีโอกาสเติบโตจากการบริโภคขนาดใหญ่ของจีน

 

หลายปีที่ผ่านมานี้ การพัฒนาของอุตสาหกรรมมังสวิรัติเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ซเมื่อเทียบกับในอดีต โดยพบว่าจีนมีร้านอาหารแบบดั้งเดิมประมาณ 5 ล้านแห่ง ในที่นี้มีร้านอาหารมังสวิรัติเพียง 3,000 แห่ง ยกตัวอย่างเช่น กรุงปักกิ่งมีร้านอาหารแบบดั้งเดิมจำนวน 60,000 แห่ง ในที่นี้มีร้านอาหารมังสวิรัติจำนวน 130 แห่ง โดยบริษัทผู้ผลิตอาหารมังสวิรัติรายใหญ่ของจีนที่มีชื่อเสียง ได้แก่ บริษัท Whole perfect food บริษัทเจี๋วสู้สู้สือ (觉树素食) บริษัทชิงสุ่ยเหอฮวา (清水荷花) บริษัทสู้เทียนเซี่ย (素天下) บริษัทเหอหนานจินกุ้ยเซียง (河南金桂香) ซึ่งบริษัท บริษัทเจี๋วสู้สู้สือ ถือเป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารมังสวิรัติรายแรกที่เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ของจีน

 

ปัจจุบันยักษ์ใหญ่ด้านอาหารต่างหันมาซื้อแบรนด์มังสวิรัติ หรือเปิดตัวผลิตภัณฑ์มังสวิรัติออกมามากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น บริษัท Tyson Foods Inc. ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและซัพพลายเออร์ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเนื้อสัตว์รายใหญ่ของโลก ซึ่งปัจจุบันไม่เพียงแต่ลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีเนื้อสัตว์ทางเลือกของอิสราเอลเท่านั้น แต่ยังจับมือกับบริษัท Memphis Meats วิจัยและพัฒนาเนื้อวัวเทียม เนื้อสัตว์ปีกเทียม และเนื้อปลาเทียมเพื่อจำหน่ายในท้องตลาดมากขึ้นอีกด้วย

 

เมื่อพิจารณาจากประเภทของการทำอาหาร ไม่ว่าจะเป็นอาหารจีน อาหารตะวันตก อาหารญี่ปุ่น อาหารอินเดีย อาหารมังสวิรัติต่างครอบคลุมเมนูอาหารพื้นฐานของแต่ละประเทศ ทำให้อาหารมังสวิรัติมีคุณค่าโภชนาการสูง และดีต่อสุขภาพ ประกอบกับการกำเนิดขึ้นของเนื้อสัตว์จากพืช ยิ่งทำให้ผลิตภัณฑ์อาหารมังสวิรัติได้รับการปรับปรุงคุณภาพ และมีโอกาสใหม่ๆ เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ส่งผลให้อุตสาหกรรมอาหารมังสวิรัติมีแนวโน้มที่ดี และแทรกซึมเข้าไปในอาหารประจำวันของผู้บริโภคมากขึ้น จนทำให้ปัจจุบันอาหารมังสวิรัติได้รับการส่งเสริมการพัฒนา ผสมผสานวัฒนธรรมดั้งเดิม และใช้หลักการทางวิทยาศสาตร์มาสร้างสรรค์อาหารมังสวิรัติสมัยใหม่ออกมามากขึ้น

 

ปัจจุบันการรับประทานมังสวิรัติคือการไม่ทานเนื้อสัตว์ สัตว์ปีกและอาหารทะเล ซึ่งบางครั้งก็งดอาหารที่ทำจากนมหรือน้ำผึ้งด้วย โดยจะทานอาหารจำพวกผัก ผลไม้ ถั่ว ธัญพืช นัท และทานอาหารทดแทนเนื้อที่ทำจากโปรตีนจากพืช ส่วนเครื่องดื่มทดแทนนมก็เป็นนมประเภทนมวอลนัท และนมถั่วเหลือง

 

เนื่องจากผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้น ส่งผลให้อาหารมังสวิรัติและอาหารแคลอรี่ต่ำจึงมีการเติบโตที่ดีสอดคล้องกับสถิติที่มีการเปิดเผยล่าสุดที่พบว่ายอดขายอาหารแคลอรี่ต่ำและอาหารมังสวิรัติเติบโตเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 30 และกำลังกลายเป็นตลาดใหม่ที่น่าจับตามอง (อาหารมังสวิรัติหมายถึงอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์  มีผัก ผลไม้ ถั่ว ธัญพืช เป็นต้น ในขณะที่อาหารแคลอรี่ต่ำหมายถึงอาหารที่มีพลังงานต่ำมักใช้วิธีการปรุงอาหารเพื่อสุขภาพ เช่น การอบ นึ่ง ต้ม ลดปริมาณไขมันและน้ำตาล)

 

อาหารมังสวิรัติและอาหารแคลอรี่ต่ำถือเป็นอาหารเบาที่เกิดขึ้นและเติบโตในอุตสาหกรรมตลาดอาหารเบาของจีนอย่างรวดเร็ว เนื่องจากอาหารดังกล่าวมีแนวคิดสอดคล้องการกินเพื่อสุขภาพของคนยุคใหม่ ประกอบกับมาตรฐานการครองชีพที่สูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากเริ่มให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งอาหารมังสวิรัติและอาหารแคลลอรี่ต่ำก็สามารถตอบสนองความต้องการเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี จึงได้รับความนิยมในตลาดจีน และมีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง

 

ผลกระทบด้านเศรษฐกิจต่อประเทศไทย และแนวทางการปรับตัวของภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการไทย

 

ปัจจุบันผู้บริโภคชาวจีนหันมาใส่ใจดูแลเรื่องอาหารการกินมากขึ้น ไม่ได้นิยามการกินเพียงเพื่ออิ่มท้องเพียงอย่างเดียว แต่หันมาพิถีพิถันต่อคุณภาพของอาหารและเครื่องดื่มมากขึ้น จึงเกิดกระแสรักสุขภาพ ประกอบกับในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา เกิดการแพร่ระบาดของโรค COVID – 19 ยิ่งทำให้ผู้บริโภคชาวจีนใส่ใจสุขภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้อาหารมังสวิรัติจึงเป็นอีกตัวเลือกในการดูแลสุขภาพที่ดี นอกจากนี้ ปัจจุบันจีนมีประชากรที่รับประทานมังสวิรัติมากกว่า 50 ล้านคน และกำลังกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเติบโตของประชากรที่รับประทานมังสวิรัติเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ตลาดมังสวิรัติจึงเป็นอีกตลาดที่น่าจับตามองสำหรับผู้ประกอบการไทยที่จะเข้ามานำเสนออาหารเพื่อสุขภาพ อาหารโปรตีนจากพืช และอาหารมังสวิรัติตามกระแสรักสุขภาพในจีนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอาหารสำเร็จรูปที่มีคุณค่าโภชนาการสูง คุณภาพดี สะอาดปลอดภัย เครื่องดื่มน้ำผลไม้ 100% รวมทั้งเครื่องดื่มน้ำผลไม้ NFC ที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน โดยผู้ประกอบการไทยสามารถพิจารณาพัฒนาเครื่องดื่มที่มีสมุนไพรที่มีประโยชน์และถูกปากผู้บริโภคชาวจีน ก็จะยิ่งทำให้เป็นเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้นไปอีก นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยต้องคำนึงถึงบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและราคาที่เหมาะสมต่อกระเป๋าผู้บริโภคชาวจีนควบคู่กันไปด้วย เนื่องจากผู้บริโภคยุคใหม่ชาว Gen Z ถือเป็นกลุ่มที่กำลังจะเป็นผู้บริโภคหลักในทุกๆ ตลาด แต่ยังมีรายได้ที่ไม่สูงมากนัก ดังนั้นการใช้กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพควบคู่กับราคาที่จับต้องได้ ก็จะยิ่งส่งเสริมให้การเจาะตลาดจีนมีความง่ายดายมากขึ้น และสามารถครองใจผู้บริโภคชาวจีนยคุใหม่ที่หันมาใช้จ่ายอย่างมีเหตุผลและให้ความสำคัญกับของดีมีคุณภาพคุ้มค่าคุ้มราคามากขึ้นตามไปด้วย

แหล่งที่มา: https://www.chinairn.com/scfx/20231009/091156568.shtml

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองชิงต่าว

thThai