ยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป (EU) เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นโดยในสัปดาห์ที่ผ่านมาคณะกรรมาธิการ EU ได้ยื่นข้อเสนอหลายหัวข้อเพื่อผลักดันและกระตุ้นการพัฒนาเทคโนโลยีที่สำคัญ อีกทั้งเพื่อป้องกันการรั่วไหลขององค์ความรู้ไปประเทศคู่แข่งโดยเฉพาะจีน โดยหนังสือพิมพ์ Handelsblatt ได้นำเอกสารดังกล่าวมาทำการศึกษาและสรุปได้ว่า แพคเกจดังกล่าวของ EU จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับ “กล่องเครื่องมือ” ของ EU โดย EU จะสามารถนำเครื่องมือนี้มาลดความเสี่ยงจากการลงทุนทั้งจากในและนอก EU จากสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical) ซึ่งในปัจจุบันจำเป็นที่ EU จะต้องเร่งกระบวนการดังกล่าวให้เดินหน้ารวดเร็วยิ่งขึ้น โดยยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจฯ คือ การเสริมสร้างความมีอิสรภาพให้กับอุตสาหกรรมหลัก (Key Industry) ของยุโรป และลดขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศคู่แข่งลง ซึ่งในเอกสารดังกล่าวแม้จะไม่ได้พาดพิงถึงประเทศจีนโดยตรง แต่แน่นอนความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นกับรัฐบาลปักกิ่งนั้นเป็นสาเหตุสำคัญของการปรับปรุงแนวคิดดังกล่าวของคณะกรรมาธิการ EU ในกรุงบรัสเซลส์ ซึ่งนาง Ursula von der Leyen ประธานคณะกรรมาธิการ EU สังกัดพรรคสหภาพคริสต์เตียนเพื่อประชาธิปไตยประเทศเยอรมนี (CDU – Christlich Demokratische Union Deutschlands) ได้ออกมาประกาศถึงยุทธศาสตร์ดังกล่าวเมื่อเดือนมิถุนายน 2023 ที่ผ่านมา โดยในช่วงฤดูใบไม้ร่วงคณะกรรมาธิการฯ ได้ออกมาประกาศรายชื่อ 10 เทคโนโลยีที่สำคัญของ EU โดยมี 4 เทคโนโลยี ที่จะต้องได้รับการประเมินความเสี่ยงมากเป็นพิเศษ ได้แก่ (1) เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI – artifizielle Intelligenz) (2) เทคโนโลยีการคำนวณเชิงควอนตัม (Quantum Computing) (3) เทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ และ (4) เทคโนโลยีชีวภาพ คณะกรรมาธิการ EU วางแผนที่จะนำเสนอผลการวิเคราะห์ความเสี่ยงในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 อย่างไรก็ดี คณะกรรมาธิการ EU ก็มีข้อเสนอแนะอยู่แล้วว่า จะส่งเสริมและปกป้อง 10 เทคโนโลยีที่สำคัญของ EU ให้ดีขึ้นได้อย่างไร โดย EU น่าจะใช้แผนจากประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นต้นแบบในการปกป้องเทคโนโลยีดังกล่าว
จาก Handelsblatt 16 กุมภาพันธ์ 2567