AI ตัวช่วยการเกษตรมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น (สคต.โทรอนโต)

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครโทรอนโต
ข่าวเด่นประจำสัปดาห์  ระหว่างวันที่ 15-19 กรกฎาคม 2567

AI ตัวช่วยการเกษตรมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น

ปัจจุบัน Artificial Intelligence (AI) หรือปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถแสดงออกเลียนแบบสติปัญญาของมนุษย์ผ่านการเรียนรู้อัลกอริทึม (กระบวนการและระบบขั้นตอนที่ถูกตั้งไว้สำหรับการแก้ปัญหา) ให้เหตุผลและแก้ไขอัลกอริทึมนั้นๆ เพื่อปรับปรุงผลลัพธ์ให้ออกมามีประสิทธิภาพมากที่สุด ได้เข้ามาช่วยเพิ่มผลผลิตการเกษตรได้มากขึ้น ระบบ AI สามารถนำมาใช้เก็บข้อมูลและนำข้อมูลวิเคราะห์ ปรับปรุงขั้นตอนการทำการเกษตร โดยเกษตรกรในแคนาดาบางส่วนได้เริ่มนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้มากขึ้น

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เกษตรกรในแคนาดาได้เริ่มนำเทคโนโลยีมาใช้ในหลายรูปแบบ โดยบางรายนำอุปกรณ์ เช่น โดรน (Drone) มาใช้เพื่อสำรวจฟาร์มและค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับวัชพืช ศัตรูพืช และโรคต่างๆ ในจำนวนนี้มีองค์กร Emili ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรได้นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมการเกษตร มุ่งเน้นการพัฒนาและสนับสนุนนวัตกรรมในภาคเกษตรกรรม โดยองค์กรนี้ริเริ่มดำเนินการพัฒนาฟาร์มนวัตกรรม (Innovation Farm) ที่มีการทดสอบและสาธิตเทคโนโลยีใหม่ๆ ใกล้กับเมือง Winnipeg รัฐ Manitoba ซึ่งเป็นรัฐตั้งอยู่ในตอนกลางของแคนาดา

แนวทางการใช้ AI เข้ามาช่วยพัฒนาการเกษตรสามารถ
สรุป ได้ดังนี้

  1. การจำแนกและระบุประเภทศัตรูพืช

ความสามารถในการระบุและจำแนกประเภทศัตรูพืชไว้ตั้งแต่เริ่มนั้นเป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดความเสียหายของการเพาะปลูกพืชและยังช่วยลดการใช้ยาฆ่าแมลงได้ การใช้ประโยชน์ของฐานข้อมูลต่างๆ ในหลายมิติ อาทิ รายงานสภาพอากาศ ข้อมูลศัตรูพืชในอดีต และภาพถ่ายความละเอียดสูงที่ถูกจับภาพโดยโดรนหรือดาวเทียม โดยอัลกอริทึมของคอมพิวเตอร์จะอ่านและตรวจสอบเพื่อเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลที่รู้จักเพื่อคาดเดาสายพันธุ์ของศัตรูพืชที่แตกต่างกันได้ เพื่อใช้ป้องกันหรือเตรียมตัวรับมือกับสภาพอากาศ ศัตรูพืชที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละพื้นที่เพาะปลูก

AI ตัวช่วยการเกษตรมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น (สคต.โทรอนโต)

ยกตัวอย่าง บริษัท Trapview (สหรัฐอเมริกา) เป็นบริษัทพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อช่วยตรวจจับและระบุประเภทศัตรูพืชในการเกษตร โดยใช้สารฟีโรโมนสังเคราะห์เพื่อดึงดูดแมลงศัตรูพืชเหล่านี้ซึ่งจะถูกถ่ายภาพโดยกล้องที่ใช้ AI สามารถระบุชนิดของศัตรูพืชได้มากกว่า 60 ชนิด เช่น หนอนเจาะสมอฝ้าย ซึ่งเป็นแมลงที่ทำความเสียหายให้พืชหลายชนิด รวมถึงผักกาดหอมและมะเขือเทศ หลังจากที่ระบุชนิดของศัตรูพืชได้แล้ว ระบบจะใช้ข้อมูลตำแหน่งและสภาพอากาศเพื่อวางแผนผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากแมลงเหล่านี้ และทำการแจ้งเตือนผ่านแอพพลิเคชันให้แก่เกษตรกรได้ทันที ข้อมูลที่ได้จาก AI ช่วยให้สามารถดำเนินการแก้ไขที่เหมาะสมและทันท่วงที ลดความสูญเสียของผลผลิตและการใช้สารเคมีได้อย่างมาก บริษัท Trapview รายงานว่าลูกค้าของพวกเขาได้เพิ่มผลผลิตและคุณภาพของผลผลิตขึ้นถึงร้อยละ 5 และประหยัดค่าใช้จ่ายโดยรวมของลูกค้าในยุโรปได้ถึง 118 ล้านยูโร/ปี

  1. การตรวจสอบคุณภาพของดิน

ความสามารถในการติดตามและวิเคราะห์คุณภาพของดินอย่างต่อเนื่องถือเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าสภาพของผลผลิตที่เพาะปลูกสามารถเจริญเติบโตอย่างเหมาะสมและเป็นไปตามแนวทางปฏิบัติด้านการเกษตรที่ยั่งยืน การใช้น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดเป็น
สิ่งสำคัญในการรับรองว่าพืชได้รับสิ่งที่ต้องการอย่างพอดี (ไม่มากหรือน้อยเกินไป) ลดของเสีย และเพิ่มผลผลิต โดยข้อมูลจากเซ็นเซอร์ ในเครื่องจักรในฟาร์ม โดรน และดาวเทียมได้ถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์สภาพดิน รวมถึงปริมาณความชื้น ระดับสารอาหาร และการมีอยู่ของเชื้อโรค

AI ตัวช่วยการเกษตรมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น (สคต.โทรอนโต)

ตัวอย่างเช่น บริษัท CropX (นิวซีแลนด์) ได้พัฒนาระบบแพลตฟอร์มที่เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบดินโดยใช้ประโยชน์จากข้อมูลแบบ Real Time โดยติดตั้งเซ็นเซอร์เพื่อใช้ AI ในการตรวจสอบและเปรียบเทียบปัจจัยต่างๆ ที่สำคัญพร้อมกับวัดผลประสิทธิภาพ การเพาะปลูก ทำให้เกษตรกรได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประเภทของดินและค่าดัชนีของการเพาะปลูกพืชแบบ Real Time เพื่อปรับ
กลยุทธ์การจัดการผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ CropX รายงานว่าผลลัพธ์คือการใช้น้ำลดลง ร้อยละ 57 การใช้ปุ๋ยลดลงร้อยละ 15 และเพิ่มผลผลิตได้สูงสุดถึงร้อยละ 70

3) ฟาร์มนวัตกรรม (Innovation Farm)

AI ตัวช่วยการเกษตรมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น (สคต.โทรอนโต)

ฟาร์ม Nature Fresh ในเมืองเลมมิงตัน รัฐออนแทริโอ พัฒนาระบบฟาร์มนวัตกรรม ที่ใช้หุ่นยนต์ช่วยเพาะปลูกมะเขือเทศ แตงกวา พริก และสตรอเบอรี่ โดยมีการติดตั้งเซ็นเซอร์หลายพันตัวในเรือนกระจกแต่ละแห่ง เทคโนโลยี AI นี้ เป็นอุปกรณ์ครบวงจรของการเพาะปลูกพืชแต่ละชนิด และยังสามารถปรับปรุงสภาพของฟาร์มในด้านต่างๆ เช่น ระบบการปรับให้แสงสว่างที่เหมาะสมสำหรับพืชแต่ละชนิด ระบบการจ่ายน้ำ รวมถึงระบบการเก็บเกี่ยวผลผลิต

จากข้อมูลการปลูกมะเขือเทศที่ฟาร์ม Nature Fresh เมื่อเมล็ดมะเขือเทศถูกปลูก เซ็นเซอร์จะทำหน้าที่คอยตรวจสอบการเจริญเติบโตของพืช และอัลกอริทึม AI จะคาดการณ์ความต้องการของพืชในแต่ละช่วงเวลา หากคาดการณ์ว่าอากาศจะร้อนขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จะมีการให้น้ำเพิ่มเติมในช่วงที่อากาศร้อนที่สุดของวัน เมื่อเซ็นเซอร์ที่ใช้ AI ตรวจสอบว่ามะเขือเทศมีขนาดและสีที่เหมาะสม ข้อความจะถูกส่งไปยังทีมงานต่อไป อีกทั้งเกษตรกรยังสามารถติดตามระบบข้อมูลตรวจสอบย้อนกลับได้อย่างสมบูรณ์จากเมล็ดพืชถึงร้านค้า เช่น ใครเก็บเกี่ยวพืชแต่ละต้น มาจากแถวไหน ได้รับน้ำและแสงสว่างมากน้อยเพียงใด และหากมีปัญหาหรือข้อกังวล เกษตรกรสามารถระบุแหล่งที่มาของปัญหาได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องปิดหรือล็อกดาวน์ฟาร์มทั้งหมดหรือเรียกคืนผลผลิต (Product Recall) ทั้งล็อต กระบวนการที่สะดวกนี้ช่วยให้การดำเนินงานของฟาร์มนวัตกรรมมีข้อมูลเชิงลึกที่รวดเร็ว ช่วยให้ฟาร์มประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น

 

ความเห็นของ สคต.

การใช้เทคโนโลยี AI ในภาคการเกษตรในแคนาดาเริ่มมีบทบาทอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยสามารถนำเทคโนโลยีการเกษตรระดับสูงไปประยุกต์ใช้ โดย AI เป็นตัวเชื่อมโยงเทคโนโลยีเข้าด้วยกันเพื่อพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพการเกษตร อาทิ การพัฒนาแพลตฟอร์มฐานข้อมูลทางอากาศที่ใช้ AI เพื่อให้เกษตรกรสามารถได้รับข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มและสภาพการเกษตรในระดับท้องถิ่นแบบ real time เพื่อช่วยให้พวกเขาสามารถทำความเข้าใจและปรับตัวต่อให้กับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง การวางแผนการเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว การบริหารจัดการทรัพยากร (น้ำ ปุ๋ย แรงงาน) ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นตัวอย่างให้ภาคการเกษตรไทยได้นำเทคโนโลยี
มาประยุกต์ใช้ โดยนอกจากจะสามารถลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรแล้ว ยังเป็นการช่วยให้ไทยสามารถพัฒนาด้านการเกษตรอย่างยั่งยืนด้วย

โปรดติดตามความเคลื่อนไหวในการค้าระหว่างประเทศผ่าน ช่องทางต่างๆ ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ www.ditp.go.th และ www.thaitrade.com หรือโทรปรึกษาเรื่องการค้าระหว่างประเทศที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ โทร. 1169 (หากโทรจากต่างประเทศ โปรดติดต่อที่ โทร. +66 2792 6900)

——————————————————————-

 

thThai