ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้บริโภคชาวอินเดียเริ่มให้ความสนใจกับสินค้าระดับพรีเมียมและสินค้านำเข้ามากขึ้น ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตและไลฟ์สไตล์ที่ดีขึ้น แนวโน้มที่เกิดนี้ได้รับแรงขับเคลื่อนจากปัจจัยหลายประการ ทั้งรายได้ที่เพิ่มขึ้นและความพร้อมที่จะลงทุนกับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ พฤติกรรมของผู้บริโภคกำลังเปลี่ยนจากระบบการออมแบบดั้งเดิม เป็นการให้ความสำคัญกับคุณค่า ความสะดวกสบาย และเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ด้วยเหตุนี้ ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ พัฒนาในเชิงประสบการณ์ของผู้ใช้ หรือแม้แต่เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพนั้นกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น ยกตัวอย่าง ยอดขายสินค้าพรีเมียม เช่น เซรั่มบำรุงผม น้ำยาปรับผ้านุ่มดาร์กช็อกโกแลต และมูสลี สินค้าเหล่านี้กำลังเติบโตเป็นอย่างมากทั้งปริมาณและมูลค่า
กราฟด้านบนแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตของยอดการซื้อสินค้านำเข้าและสินค้าพรีเมียมในอินเดียตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ดังจะเห็นได้จากการขยายตัวของการบริโภคเป็นอย่างมากทั้งสินค้าพรีเมียมและสินค้านำเข้า ในปี 2564 สินค้าพรีเมียมขยายตัว 10% และคาดว่าจะเติบโตถึง 35% ภายในปี 2567 ในขณะเดียวกัน อัตราการเติบโตของสินค้านำเข้าเพิ่มขึ้นจาก 8% ในปี 2564 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 30% ภายในปี 2567 แนวโน้มนี้สะท้อนให้เห็นถึงความชื่นชอบของผู้บริโภคอินเดียที่เปลี่ยนไปสู่การให้ความสำคัญ
บริษัทข้ามชาติต่างๆ อย่างบริษัท Hindustan Unilever (HUL) และ Mondelez ได้รายงานการเติบโตของกลุ่มสินค้า ผลิตภัณฑ์พรีเมียมที่ขยายตัวอย่างเห็นได้ชัดจากส่วนแบ่งยอดจำหน่ายจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงกลุ่มธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค (Fast-moving consumer goods: FMCG ) โดยบริษัทใหญ่ๆ เช่น Colgate, Nestle และ Marico ต่างเห็นว่าผลิตภัณฑ์สินค้าระดับพรีเมียมมีส่วนสำคัญในการแบ่งยอดจำหน่ายจากเดิมได้เช่นกัน การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่เพียงจำกัดเฉพาะในเขตชุมชนเมือง แต่สินค้าพรีเมียมกำลังได้รับความนิยมในพื้นที่ต่างจังหวัด ด้วยเหตุนี้ บริษัทต่างๆ จึงได้วางแผนการตลาดเพื่อขยายเครือข่ายการจัดจำหน่ายไปยังพื้นที่นอกเมือง และนำเสนอผลิตภัณฑ์พรีเมียมในแพ็คเกจที่มีขนาดและราคาย่อมเยา สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น
ข้อมูลเพิ่มเติม
1. การขยายตัวของกลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจต่อสุขภาพกำลังขับเคลื่อนความต้องการของผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ เช่น ขนมปังบิสกิตเพื่อสุขภาพ กราโนล่า มูสลี หรือแม้แต่ครีมลดริ้วรอย สินค้าที่ยกตัวอย่างมานี้มีการเข้าถึงตลาดผู้บริโภคยุคปัจจุบันจำนวนที่มากขึ้นตั้งแต่ปี 2565 และด้วยการเปลี่ยนแปลงเชิงประชากรนี้เองแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในวงกว้าง พยายามมองหาสินค้า/ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ ดังนั้น เมื่อผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญกับสินค้าที่มีคุณภาพและเน้นด้านประสบการณ์มากกว่าปัจจัยด้านราคา ส่งผลให้แนวโน้มผู้บริโภคต่อสินค้าและผลิตภัณฑ์พรีเมียมและสินค้านำเข้าคาดว่าจะยังคงเติบโตไปในทิศทางบวก ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงภาพจำของการบริโภคในอินเดีย
ผลกระทบทางเศรษฐกิจและความท้าทาย
1. การส่งออกที่เพิ่มขึ้น: ประเทศไทยสามารถใช้ประโยชน์จากความชื่นชอบของอินเดียสำหรับผลิตภัณฑ์พรีเมียมได้โดยการส่งออกสินค้าที่มีคุณภาพสูง เช่น เครื่องสำอางไทย ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว อาหารและเครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางโภชนาการและตอบโจทย์ได้ในแต่ละกลุ่ม เป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจให้แก่ผู้ส่งออกไทยในเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดอินเดีย
2. การขยายตลาดของสินค้าแบรนด์ไทย: การนำเสนอสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์ น่าสนใจ มีคุณภาพเฉพาะตัวซึ่งสอดรับกับรสนิยมและความชื่นชอบของชาวอินเดียจะทำให้สามารถเข้าถึงตลาดอินเดียได้มากขึ้น
3. เปิดโอกาสด้านการลงทุน: ความต้องการสินค้าพรีเมียมที่เพิ่มขึ้นในอินเดีย อาจเป็นอีกช่องทางหนึ่งสำหรับธุรกิจไทยที่สนใจในตลาดศักยภาพและมีกำลังซื้อ ย่อมเป็นการดึงดูดนักลงทุนไทยให้มาตั้งโรงงานผลิตหรือศูนย์กระจายสินค้า
ข้อคิดเห็น
แม้ว่าอินเดียได้ขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของภาครัฐ Atmanirbhar (self-sufficiency) ที่ได้ประกาศใช้เมื่อปี 2563 เพื่อลดการพึ่งพาตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะจีนซึ่งเป็นประเทศที่อินเดียขาดดุลสูงสุดหรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของมูลค่าการขาดดุลของอินเดียกับโลก รวมทั้งผลักดันการผลิตและการบริโภคภายในประเทศให้สามารถพยุงเศรษฐกิจในช่วงผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยนโยบายดังกล่าวมุ่งเน้นให้อินเดียเป็นศูนย์กลางการผลิตของโลก ควบคู่กับนโยบาย Make in India ส่งผลให้อินเดียมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นและกลายเป็นตลาดที่น่าสนใจต่อการลงทุน ด้วยรายได้ที่เพิ่มขึ้น ค่านิยมของคนรุ่นใหม่ และพฤติกรรมของผู้บริโภคกำลังเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม สินค้าระดับพรีเมียมและสินค้านำเข้าที่มีคุณภาพจึงกลายเป็นที่ต้องการมากขึ้น การตระหนักถึงสุขภาพที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้บริโภคในเมืองที่มีฐานะดีซึ่งชื่นชอบสินค้าทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพในกลุ่มอาหารแปรรูป การปรับเปลี่ยนการบริโภคน้ำมันปาล์มเป็นน้ำมันดอกทานตะวัน(Pepsico (US)) การลดปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มมอลต์ของอินเดีย (Cadbury (UK)) และสินค้าที่เพิ่มประสบการณ์ที่ดีในการใช้เพื่อตอบโจทย์ความต้องการ จะช่วยผลักดันการขยายส่วนแบ่งตลาดของสินค้าพรีเมียมและสินค้านำเข้าต่อสินค้าแบรนด์ท้องถิ่นที่เน้นกลยุทธ์ในด้านความคุ้มค่าของราคา ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยที่สนใจเจาะตลาดอินเดีย ไม่ควรมองข้ามทั้งด้านการให้ความสำคัญของคุณภาพสินค้าเป็นสำคัญประกอบกับต้องคำนึงการวางตำแหน่งสินค้าว่า เป็นเกรดเป็นสินค้าพรีเมียมและคุณภาพสูง หรือเป็นสินค้าที่มีความแตกต่าง ผู้ประกอบการไทยควรกำหนดราคาที่เหมาะสมและสามารถแข่งขันกับสินค้าที่มีอยู่ในตลาดได้ โดยการสร้างแบรนด์ผ่านการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการโปรโมทสินค้าผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่างๆ เช่น Amazon India/ Flipkart /Bigbasket และสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริโภคผ่านการใช้ Influencer และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย จะมีส่วนช่วยสร้างยอดขายและสร้างจุดยืนให้แก่สินค้าแบรนด์ไทยได้ในตลาดอินเดีย
ที่มา:1. https://www.business-standard.com/companies/news/india-s-fast-pace-transformation-reflects-changing-consumer-trends-hul-md-124072401132_1.html
https://economictimes.indiatimes.com/industry/cons-products/fmcg/changing-consumer-trends-premium-outperforms-mass-as-new-india-seeks-quality-of-life/articleshow/112252229.cms