แนวโน้มการประกอบธุรกิจใหม่ในเยอรมนีแย่ลง และมีแนวโน้มที่จะเกิดวิกฤตในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ แม้ปริมาณการสั่งซื้อสินค้าของภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 2 เดือนติดต่อกัน แต่ล่าสุดในเดือนสิงหาคม 2567 ปริมาณการสั่งซื้อสินค้าอุตสาหกรรมลดลงกว่า 5.8% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งถือว่าหดตัวมากที่สุด นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 ตามที่สำนักงานสถิติประจำประเทศเยอรมนี (Statistisches Bundesamt) ประกาศเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์กันว่า ปริมาณการสั่งซื้อสินค้าอุตสาหกรรมน่าจะลดลงเพียง 2.0% อย่างไรก็ตามปริมาณการสั่งซื้อสินค้าอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคมของปีนี้ สูงกว่าที่รายงานในตอนแรกที่ 2.9% แม้ว่าจะแก้ไขแล้วปริมาณการสั่งซื้อสินค้าอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคมเป็น 3.9% ด้านนาย Jens-Oliver Niklasch ผู้เชี่ยวชาญของ LBBW เปิดเผยว่า “ดัชนีตัวแปรชี้ภาวะเศรษฐกิจล่วงหน้า (Leading Indicators) ลดลง การประเมินสถานการณ์เชิงลบขยายตัวไม่หยุด หลาย ๆ สิ่งที่กล่าวมานี้เป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอย” นาย Jörg Krämer หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคาร Commerzbank เปิดเผยว่า ข้อมูลดังกล่าวสร้างความผิดหวังอย่างมาก เขาคาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในช่วงครึ่งหลังของปีหลังจะคงที่ละไม่หดตัวลงอีก “ไม่มีวี่แววของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเลย” สภาหอการค้าพาณิชย์และอุตสาหกรรมเยอรมนี (DIHK – Der Deutsche Industrie- und Handelskammertag) กล่าวถึงข้อมูลดังกล่าวว่า “ข้อมูลนี้ทำลายความหวังว่า เศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวในเวลาอันไกล้” นาย Jupp Zenzen ผู้เชี่ยวชาญ DIHK เน้นย้ำว่า หากไม่มีคำสั่งซื้อสินค้าอุตสาหกรรมจำนวนมาก ก็เรียกได้ว่า เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดการระบาดของเชื้อโควิด-2019 ที่คำสั่งซื้อสินค้าอุตสาหกรรมอยู่ในระดับต่ำสุด โดยคำสั่งซื้อสินค้าโดยรวมของประเทศลดลงเพียง 3.4% เท่านั้น กระทรวงเศรษฐกิจฯ อธิบายว่า “การลดลงที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เราหวังว่า ปริมาณการคำสั่งซื้ออาจถึงจุดต่ำสุดแล้ว” นั้นหมายความว่า ไม่น่าเป็นไปได้ที่ในช่วงครึ่งปีหลังเศรษฐกิจของภาคอุตสาหกรรมจะสามารถกลับฟื้นตัวอย่างเห็นได้
ปริมาณการสั่งซื้อสินค้าอุตสาหกรรมที่ลดลงยิ่งตอกย้ำสถานการณ์ที่โหดร้ายของอุตสาหกรรมในประเทศ และเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของวิกฤต นาย Sebastian Dullien ผู้อำนวยการของสถาบันเพื่อการวิจัยเศรษฐศาสตร์มหภาค (IMK – Institut für Makroökonomie und Konjunkturforschung) ซึ่งเป็นสถาบันที่มีความไกล้ชิดกับสหภาพแรงงานกล่าวว่า “3 อุตสาหกรรมหลักของประเทศเยอรมนี ได้แก่ อุตสาหกรรมรถยนต์ วิศวกรรมเครื่องกล และเคมี ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากปริมาณการสั่งซื้อสินค้าที่ลดลง” ในเดือนสิงหาคม 2567 คำสั่งซื้อในประเทศลดลง 10.9% ส่วนคำสั่งซื้อจากต่างประเทศลดลง 2.2% ธุรกิจใหม่กับกลุ่มประเทศที่ใชเงินสกุลยูโรลดลงอย่างรวดเร็วถึง 10.5% ในขณะที่ธุรกิจอื่น ๆ ทั่วโลกเพิ่มขึ้น 3.4% นาย Zenzen ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจของ DIHK กล่าวว่า อย่างไรก็ตามก็ “ไม่มีแรงผลักดันทางเศรษฐกิจที่สำคัญจากต่างประเทศจนสามารถมองเห็นได้ชัดเช่นกัน” นอกเหนือจากอุปสงค์ในภาคอุตสาหกรรมแล้ว อุปสงค์ในประเทศยังแทบไม่มีให้เห็นเลย ดัชนีบรรยากาศทางธุรกิจของสถาบันเพื่อการวิจัยทางเศรษฐกิจของมหาวิทยาลัยมิวนิค (Ifo – Institut für Wirtschaftsforschung an der Universität München) แสดงให้เห็นว่า ในเดือนกันยายนดัชนีธุรกิจการค้าปลีกแย่ลง ดัชนีลดลงเหลือ -25.6 จุด นาย Patrick Höppner ผู้เชี่ยวชาญของ Ifo กล่าวว่า “ผู้บริโภคไม่แน่ใจเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมด้านนโยบายเศรษฐกิจว่าจะดำเนินไปในทิศทางใด”
จาก Handelsblatt 28 ตุลาคม 2567