ประเทศชิลี ได้จัดการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นและระดับภูมิภาคขึ้น ระหว่างวันที่ 26-27 ตุลาคม 2567 โดยได้นำระบบลงคะแนนเสียงภาคบังคับกลับมาใช้อีกครั้ง (กฎหมายหมายเลข 21.524) กระบวนการลงคะแนนเสียงแบ่งเป็นสองวัน โดยเริ่มตั้งแต่เวลา 8.00 น. ของวันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม และสิ้นสุดในเวลา 18.00 น. ของวันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม โดยการเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้ออกมาใช้สิทธิ์มากที่สุดในประวัติศาตร์ของประเทศชิลี ซึ่งมีจำนวนถึง 12.7 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนเป็นร้อยละ 84.9 จากจำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมดที่ 15.4 ล้านคน อัตราการออกมาใช้สิทธิ์ของชาวชิลีที่สูงมากครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อการเลือกผู้นำในระดับท้องถิ่นและระดับภูมิภาคที่จะช่วยสนับสนุนให้สภาพความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น โดยรัฐบาลชิลีได้จัดการเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐ (แคว้น) จำนวน 16 ตำแหน่งใน 16 รัฐ นายกเทศมนตรี จำนวน 345 ตำแหน่ง สมาชิกสภา จำนวน 2,256 ตำแหน่ง และสมาชิกสภาระดับภูมิภาค จำนวน 302 ตำแหน่ง โดยรัฐธรรมนูญฉบับใหม่กำหนดให้ผู้สมัครที่ได้รับเลือกดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐ (แคว้น) สามารถดำรงตำแหน่งได้เป็นระยะเวลา 4 ปี และสามารถได้รับเลือกตั้งได้ในสมัยที่ 2 ติดต่อกันเพียงครั้งเดียว ทั้งนี้ ผู้ที่จะได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐจะต้องได้รับคะแนนสูงที่สุดเป็นอันดับที่ 1 และได้รับคะแนนเสียงมากกว่าร้อยละ 40 ส่วนการเลือกตั้งตำแหน่งอื่น ๆ เช่น นายกเทศมนตรี สมาชิกสภา และสมาชิกสภาระดับภูมิภาค ผู้ที่ได้รับคะแนนสูงที่สุดจะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง

 

ผลลัพธ์

การแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐเป็นไปอย่างเข้มข้น และผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการในรอบแรก มีจำนวนเพียง 5 รัฐจากทั้งหมด 16 รัฐ ที่สามารถเลือกผู้ว่าการรัฐได้สำเร็จ ส่วนรัฐที่เหลืออีก 11 รัฐ รวมทั้ง กรุงซันติอาโก จะต้องเข้าสู่การเลือกตั้งรอบที่สองในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2567 เพื่อหาผู้ชนะต่อไป ทั้งนี้ ผู้สมัครจากรัฐบาลของประธานาธิบดีกาเบรียล บอริกและพรรคร่วมรัฐบาลฝ่ายซ้าย (ฝ่ายสังคมนิยม) สามารถรักษาเสียงข้างมากในระดับประเทศไว้ได้ โดยคว้าชัยชนะในเมืองใหญ่ไว้ได้หลายแห่ง อาทิ ไมโป ปวนเตอัลโต วัลปาไรโซ และวีญาเดลมาร์ ชัยชนะดังกล่าวของฝ่ายรัฐบาลช่วยสนับสนุนและรักษาอิทธิพลทางการเมืองของรัฐบาลชุดปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม พรรคฝ่ายค้านก็ประสบความสำเร็จอย่างมากเช่นเดียวกัน โดยเฉลิมฉลองชัยชนะที่โดดเด่นที่สามารถยึดครองเขตสำคัญในเมืองหลวง อาทิ กรุงซันติอาโก ลาฟลอริดา และเญโนอา ชัยชนะเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของฝ่ายค้านในพื้นที่เมืองสำคัญ ที่มีประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่ ทำให้การควบคุมเมืองหลวงตกไปอยู่ในมือของฝ่ายขวา (ฝ่ายประชาธิปไตย) ผลการเลือกตั้งครั้งนี้มีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์ในวงการเมืองชิลี

 

บทวิเคราะห์ / ข้อคิดเห็นจาก สคต. ณ กรุงซันติอาโก

การเลือกตั้งในครั้งนี้ เป็นการเลือกตั้งระดับระดับท้องถิ่นและระดับภูมิภาค ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อนโยบายด้านการค้าระหว่างประเทศของชิลี ทั้งนี้ การเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2568 จะส่งผลกระทบต่อการกำหนดสภาพแวดล้อมทางการเมืองโดยรวม และการนโยบายของรัฐบาลใหม่ โดย สคต.ฯ คาดการณ์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2568 ต่อไปนี้คือผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

การเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้า: ในส่วนของนโนบายสนับสนุนการค้าและนโยบายคุ้มครองการค้า ซึ่งจะขึ้นอยู่กับพรรคการเมืองหรือผู้สมัคที่จะได้รับอำนาจ รัฐบาลที่สนับสนุนการค้ามีแนวโน้มที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศ อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ข้อตกลงทางการค้าที่เอื้ออำนวยมากขึ้นหรือในทางกลับกัน รัฐบาลที่สนับสนุนนโยบายคุ้มครองการค้า อาจนำกฎระเบียบด้านภาษีและศุลกากรมาบังคับใช้ ส่งผลกระทบต่อการนำเข้าและส่งออก

ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อเสถียรภาพทางการเมือง: การเลือกตั้งอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในชิลี หากผู้ได้รับการเลือกตั้งประธานาธิบดีมาจากฝ่ายซ้าย อาจส่งผลกระทบให้สภาพเศรษฐกิจของชิลียังซบเซาต่อไปอีก แม้ว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันที่มาจากฝ่ายซ้ายจะมีนโยบายส่งเสริมการค้าการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ยังชะลอการตัดสินใจต่อการลงทุนเพิ่มเติม เนื่องจากนโยบายทางสังคมที่เกี่ยวเนื่องกับการค้าและการลงทุนยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ เช่น การคุ้มครองสิทธิแรงงานในระดับสูงของชิลี นโยบายการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด เป็นต้น

ผลกระทบเฉพาะภาคส่วน: ในส่วนของการส่งออก ซึ่งชิลีเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกทองแดง ผลไม้ และผลิตภัณฑ์ประมงรายสำคัญของโลก หากผู้ได้รับการเลือกตั้งประธานาธิบดีมาจากฝ่ายซ้ายอาจส่งผลกระทบการกำหนดนโยบายต่าง ๆ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ การจัดทำความตกลงทางการค้า (ข้อจำกัดในการเข้าสู่ตลาดชิลี) การรักษาสิ่งแวดล้อม สวัสดิการและแรงงานที่จะเอื้อประโยชน์ให้กับชิลีเป็นสำคัญ และอาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมของห่วงโซ่อุปทานสินค้าและบริการของชิลี

ภูมิทัศน์ทางการเมืองที่ซับซ้อนของชิลีที่ฝังรากลึกตั้งแต่ยุคการปฏิรูปรัฐบาล แบ่งแยกประเทศออกเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายสังคมนิยม (ฝ่ายซ้าย) และฝั่งประชาธิปไตย (ฝ่ายขวา) การเลือกตั้งครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคมรวมถึงความกังวลด้านความปลอดภัย ชิลีต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงและเศรษฐกิจที่ซบเซา อัตราการก่ออาชญากรรมที่เพิ่มขึ้น รวมถึงปัญหาด้านการปฏิรูปการศึกษา สวัสดิการด้านสุขภาพ และความเหลื่อมล้ำ ทั้งนี้ ประธานาธิบดีชิลีปัจจุบัน (นายกาเบรียล บอริค) เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนมีนาคม 2565 โดยมีวาระการดำรงตำแหน่งเพียง 4 ปี และไม่มีสิทธิ์ได้รับการเลือกตั้งซ้ำ เนื่องจากกฏหมายของชิลีอนุญาตให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้เพียงวาระเดียว รัฐบาลชุดปัจจุบันเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ รวมถึงความไม่สงบทางสังคมและการหารือเกี่ยวกับการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ หลังจากดำรงตำแหน่งมาได้ 2 ปี ประชาชนแสดงความไม่พอใจต่อผลงานของรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง การเลือกตั้งของชิลีในเดือนตุลาคม 2567 ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับประเทศในการกำหนดทิศทางในอนาคตท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองที่กำลังดำเนินอยู่ ผู้นำท้องถิ่นที่ได้รับการเลือกตั้งจะมีบทบาทสำคัญ ที่จะต้องแก้ไขปัญหาต่าง ๆ อาทิ ความปลอดภัยสาธารณะ การพัฒนาเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตในชุมชนของตน ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของผู้ได้รับการเลือกตั้งอาจกำหนดอนาคตทางการเมืองของประเทศได้

__________________________________

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงซันติอาโก

ตุลาคม 2567

 

thThai