ในปี 2568 เราจะก้าวเข้าสู่ “ยุคอัลกอริทึมสื่อ” ตามรายงานแนวโน้มสื่อ “ปีแห่งอิทธิพล” จากเดนท์สุ โดยมีการยกระดับทั้งด้านการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างแม่นยำ การบูรณาการการบริโภคเนื้อหา และความโปร่งใสของข้อมูล การปฏิวัติเครื่องมือสื่อด้วย AI เป็นหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุด เทคโนโลยี AI แบบสร้างสรรค์ที่พัฒนาขึ้นช่วยให้แบรนด์สามารถสร้างประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวและจุดตัดสินใจมากขึ้นตลอด ห่วงโซ่คุณค่าสื่อ ส่งผลให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมและจงรักภักดีต่อแบรนด์มากขึ้น การวางแผนสื่อที่แม่นยำด้วย AI ช่วยให้แบรนด์โดดเด่นท่ามกลางข้อมูลที่ท่วมท้น และสามารถทำการตลาดแบบหนึ่งต่อหนึ่งได้อย่างแท้จริง อาทิ งานวิจัยเกี่ยวกับอุตสาหกรรมสินค้าที่ระลึกพิพิธภัณฑ์ปี 2567 โดยมีรูปแบบที่น่าสนใจ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
การเติบโตของตลาดที่น่าจับตามอง สถาบันวิจัย MobTech ได้เผยแพร่รายงานการวิจัยอุตสาหกรรมสินค้าที่ระลึกพิพิธภัณฑ์ฉบับล่าสุด พบว่าในช่วงปี 2563-2567 ทั้งผู้ประกอบการและผู้เข้าชมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมาที่มีการเติบโตในอัตราสูง ในช่วงวันหยุดเทศกาลวันชาติ มีผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ทั่วประเทศรวม 74.88 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.5 เมื่อเทียบกับปีก่อน นอกจากนี้ พิพิธภัณฑ์ยังขยายช่องทางจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ส่งผลให้เกิดสินค้าขายดีมากมาย
(ภาพและแหล่งที่มา https://mp.weixin.qq.com/s/MUDZKMD6XXZUF0vkcBB_nQ)
กลุ่มผู้บริโภคหลักคือคนรุ่นใหม่ในเมืองใหญ่ ผลสำรวจชี้ว่าผู้บริโภคสินค้าที่ระลึกพิพิธภัณฑ์กว่า ร้อยละ 60 เป็นผู้หญิง โดยส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ Gen Z (ร้อยละ 31) และ Gen Y (ร้อยละ 39.9) ที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ (ร้อยละ 27.1) ที่น่าสนใจคือ ร้อยละ 26.1 ของผู้ตอบแบบสอบถามเป็นลูกค้าประจำ เข้าชมพิพิธภัณฑ์ 1-2 ครั้งต่อเดือนหรือมากกว่า แม้ว่าโซเชียลมีเดียจะเป็นช่องทางสร้างกระแสหลัก แต่ร้านค้าออฟไลน์ยังคงเป็นช่องทางซื้อหลักเนื่องจากให้ประสบการณ์จริง
มูลค่าเพิ่มคือกุญแจสำคัญของผลิตภัณฑ์ ร้อยละ 58.6 ของผู้บริโภคให้ความสำคัญกับมูลค่าเพิ่มของสินค้าเป็นอันดับแรก โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่จำลองโบราณวัตถุได้อย่างดี การใช้จ่ายเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 100-500 หยวน (ร้อยละ 35.5) อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคยังมีข้อติติงเรื่องราคาที่ไม่สมเหตุสมผล รวมถึงการออกแบบที่คล้ายคลึงกันและขาดความสร้างสรรค์
อนาคตต้องเน้นนวัตกรรมและความยั่งยืน การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่แหวกแนวและมีนวัตกรรมจะเป็นกุญแจสำคัญในการขยายตลาด ทั้งการนำเสนอโบราณวัตถุในรูปแบบใหม่ที่แปลกตา และการผสมผสานคุณค่าทางวัฒนธรรมเข้ากับการออกแบบสมัยใหม่ นอกจากนี้ พิพิธภัณฑ์ยังควรคำนึงถึงคุณค่าทางการศึกษา เช่น โครงการสินค้าที่ระลึกรักษ์โลก “Zero Waste” ของพิพิธภัณฑ์พระราชวังต้องห้าม ที่ส่งเสริมให้ประชาชนตระหนักถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ตลาดเฉพาะกลุ่มกำลังมาแรงและเป็นจุดเติบโตใหม่สำหรับแบรนด์ต่าง ๆ แบรนด์จำเป็นต้องเจาะลึกตลาดย่อย ใช้อิทธิพลของครีเอเตอร์และแฟนคลับในการสร้างการบอกต่อ พร้อมทั้งใช้เรื่องราวแบรนด์ที่ทรงพลังเพื่อทะลุกำแพงข้อมูล (Information Cocoon) สร้างการเล่าเรื่องข้ามจอและการเชื่อมโยงทางอารมณ์ การหลอมรวมระหว่างค้าปลีกและสื่อกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แพลตฟอร์มค้าปลีกจากหลากหลายอุตสาหกรรมขยายความสามารถด้านโฆษณา ทำให้การผสมผสานระหว่างค้าปลีกและสื่อกลายเป็นรากฐานของกลยุทธ์สื่อ ช่วยให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำยิ่งขึ้น พร้อมมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ต่อเนื่องให้ผู้บริโภค ในอนาคต แบรนด์ต้องมีความไวต่อการรับรู้มากขึ้นเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและผลักดันการเติบโต การที่ผู้บริโภคพึ่งพาคุณค่าทางอารมณ์มากขึ้น ทำให้แบรนด์ต้องคาดการณ์และปรับตัวล่วงหน้าเพื่อโดดเด่นในตลาด นอกจากนี้ แบรนด์ยังต้องพร้อมใช้กลยุทธ์ที่ปรับให้เข้ากับท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง เพื่อรับมือกับการพัฒนาที่ไม่เท่าเทียมกันของเทคโนโลยีและพฤติกรรมการบริโภคสื่อทั่วโลก
การตลาดช่องทางออนไลน์ในปี 2567 กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าสนใจ ตามรายงานล่าสุดจาก QuestMobile พบว่าการทำการตลาดแบบผสมผสานทั้งออนไลน์และออฟไลน์ได้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของวงการ โดยช่องทางหลักอย่าง E-commerce, Short Video และ Social Community มีการเติบโตในอัตราที่ช้าลง ขณะที่ช่องทางใหม่ ๆ อย่างแพลตฟอร์มบริการในท้องถิ่น เช่น Taobao JD.com Pinduoduo เป็นต้น และ E-commerce สำหรับอาหารสดกลับมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว กลายเป็นจุดสนใจใหม่ของตลาด
สำหรับแบรนด์ต่าง ๆ กลยุทธ์การตลาดแบ่งออกเป็น 4 แนวทางหลัก
(1) การเพิ่มการมองเห็นภายในแพลตฟอร์ม E-commerce โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค
(2) การลงโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มชั้นนำเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างแม่นยำ
(3) การใช้ Live Streaming สร้างประสบการณ์การซื้อสินค้าแบบมีส่วนร่วม และ
(4) การร่วมมือกับ KOL และการสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจ ซึ่งพบมากในอุตสาหกรรมความงาม อาหารและเครื่องดื่ม การเดินทาง และเครื่องใช้ไฟฟ้า
ในกรณีศึกษาของอุตสาหกรรมความงาม พบว่าการลงโฆษณาบน TikTok มีค่าใช้จ่ายต่อโพสต์ที่สูง โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าที่มีการลงโฆษณามากที่สุด แบรนด์ชั้นนำมักเน้นการทำการตลาดผ่าน E-commerce platform เป็นหลัก ที่น่าสนใจคือในปี 2567 แบรนด์ความงามหันมาทดลองใช้ Short Drama เป็นเครื่องมือการตลาดใหม่ และเพิ่มการใช้ Live Streaming เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขายและการตลาด
การตลาดแบบ Omni-channel ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มปี 2567 อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในปี 2567 ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคง จากข้อมูลของ Nielsen IQ พบว่าในช่วง 7 เดือนแรกของปี อุตสาหกรรมนี้มียอดขายเติบโตถึงร้อยละ 5.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีเครื่องดื่มซอฟต์ดริงก์ ชา และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการเติบโต ในด้านช่องทางการจัดจำหน่าย พบว่ามีการกระจายตัวมากขึ้น โดยร้านค้าปลีกใกล้บ้านมีอัตราการเติบโตร้อยละ 3.5-5.6 ในเดือนกรกฎาคม ขณะที่อีคอมเมิร์ซด้านคอนเทนต์เติบโตโดดเด่นถึงร้อยละ 30 ที่น่าสนใจคือ สินค้าระดับพรีเมียมทั้งเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวกลับมียอดขายสูงในช่องทางอีคอมเมิร์ซ ต่างจากความเชื่อเดิมที่มองว่าออนไลน์มักขายสินค้าราคาถูก
รายงานได้วิเคราะห์เจาะลึก 7 กลุ่มสินค้าย่อย ได้แก่ เครื่องดื่มซอฟต์ดริงก์ ขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ข้าวและธัญพืช ผลิตภัณฑ์นม ผักสด และชา โดยยกตัวอย่างกลุ่มซอฟต์ดริงก์ที่มีกลุ่มผู้บริโภคหลักเป็นนักเรียนนักศึกษาอายุต่ำกว่า 24 ปีในเมืองใหญ่ และผู้ชายมีแนวโน้มซื้อมากกว่าผู้หญิงเล็กน้อย ยอดขายมักพุ่งสูงในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม โดยปัจจัยที่ดึงดูดการซื้อคือส่วนประกอบและคุณประโยชน์ของเครื่องดื่ม รวมถึงการทำการตลาดผ่านการนำเสนอภาพการดื่มในชีวิตประจำวัน
จากการวิเคราะห์เชิงลึก รายงานได้เสนอกลยุทธ์การตลาดแบบ Omni-channel สำหรับอุตสาหกรรมนี้ โดยเน้นการเชื่อมโยงช่องทางออนไลน์และออฟไลน์อย่างไร้รอยต่อ การสร้างความผูกพันทางอารมณ์กับผู้บริโภคผ่านการสื่อสารที่เน้น “การชดเชยทางอารมณ์” และ “ไลฟ์สไตล์ที่มีระดับ” พร้อมทั้งการพัฒนาระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพเพื่อสนับสนุนการทำการตลาดแบบองค์รวม
ข้อเสนอแนะ สคต. ณ นครเฉิงตู
ประเทศไทยสามารถผลักดันการพัฒนาสินค้าที่ระลึกในพิพิธภัณฑ์และแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมให้ตอบโจทย์กลุ่ม Gen Y และ Gen Z โดยเน้นการออกแบบที่ผสมผสานระหว่างความร่วมสมัยกับคุณค่าทางวัฒนธรรม พร้อมทั้งสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านนวัตกรรมและความยั่งยืน เช่น การพัฒนาสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ด้านการตลาด ควรใช้กลยุทธ์แบบผสมผสานระหว่างออนไลน์และออฟไลน์ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มซึ่งเป็นจุดแข็งของไทย ควรเน้นการทำตลาดผ่านช่องทางที่หลากหลาย ทั้งร้านค้าปลีกใกล้บ้านและแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ พร้อมทั้งใช้เทคโนโลยี AI ในการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคเพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงความต้องการมากขึ้น
สำหรับการสื่อสารแบรนด์ ควรเน้นการสร้างเนื้อหาที่เชื่อมโยงกับอารมณ์และไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ใช้ประโยชน์จาก KOL และ Live Streaming ในการสร้างประสบการณ์การซื้อสินค้าแบบมีส่วนร่วม รวมถึงการทำ Short Drama เพื่อเล่าเรื่องแบรนด์ให้น่าสนใจ ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงความแตกต่างของพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่เพื่อปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับบริบทท้องถิ่น
————————————————–
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครเฉิงตู
พฤศจิกายน 2567
แหล่งข้อมูล :
https://mp.weixin.qq.com/s/MUDZKMD6XXZUF0vkcBB_nQ
https://mp.weixin.qq.com/s/4ZpWTRdlgd6jj3zsjlUZeg