เม็กซิโกแสดงจุดยืนต่อนโยบายทรัมป์ ย้ำเม็กซิโกให้ความสำคัญของเศรษฐกิจที่พึ่งพากันและการส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนในภูมิภาคให้เพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ดี พร้อมตอบโต้หากสหรัฐใช้กำแพงภาษีกดดัน ชี้นโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าจะส่งผลเสียทั้งสองฝ่าย

ประธานาธิบดี Claudia Sheinbaum ของเม็กซิโกได้ส่งหนังสือถึงว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา Donald Trump เพื่อตอบสนองต่อแถลงการณ์เกี่ยวกับนโยบายเพิ่มภาษีนำเข้า 25% สำหรับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา ทันทีที่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยในหนังสือดังกล่าว ประธานาธิบดี Sheinbaum ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือและความเข้าใจซึ่งกันและกันในการเผชิญกับความท้าทายร่วมกัน และคัดค้านแนวนโนยายในการเพิ่มภาษีเป็นมาตรการกดดันประเทศภาคี โดยกล่าวว่า รัฐบาลเม็กซิโกจะตอบโต้หากว่าที่ประธานาธิบดี Trump ยังคงเดินหน้าตามแผนดังกล่าว พร้อมเตือนถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจที่รุนแรงต่อธุรกิจของทั้งสองประเทศ ประธานาธิบดี Sheinbaum กล่าวเพิ่มเติมว่า “ทุกมาตรการภาษี จะมีการตอบสนองในรูปแบบเดียวกัน ผลกระทบทางเศรษฐกิจของสงครามการค้าจะสร้างความเสียหายต่อการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เป็นตลาดหลักในทั้งสองประเทศ” มาตรการดังกล่าวจะทำร้ายบริษัทสัญชาติอเมริกันที่มีฐานผลิตในเม็กซิโกและท้ายที่สุดจะนำไปสู่อัตราเงินเฟ้อและการสูญเสียตำแหน่งงานทั้งในสหรัฐอเมริกาและเม็กซิโก”
ตามรายงานจากกระทรวงเศรษฐกิจ ในปี 2023 มูลค่าการค้าระหว่างเม็กซิโกและสหรัฐอเมริกามีมูลค่ารวม 234,743 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยสหรัฐอเมริกามีส่วนแบ่งในสินค้าส่งออก 82.7% และในสินค้านำเข้า 42.7% ของมูลค่าการค้าจากเม็กซิโก สินค้าหลักที่เม็กซิโกส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาและอาจได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษี ได้แก่ :
(1) ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ของยานยนต์
(2) รถยนต์และยานพาหนะอื่น ๆ ที่ออกแบบสำหรับการขนส่งผู้โดยสาร
(3) ยานพาหนะสำหรับการขนส่งสินค้า
(4) เครื่องจักรและหน่วยประมวลผลข้อมูล
(5) สายไฟฟ้าและสายเคเบิล
(6) โทรศัพท์ โทรศัพท์มือถือ
(7) จอภาพและโปรเจคเตอร์
(8) อุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมยานยนต์ของเม็กซิโกมีความเสี่ยงอย่างยิ่งต่อความขัดแย้งทางการค้าที่เพิ่มขึ้นกับสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ Trump ได้กล่าวถึงปัญหาการนำเข้ายานยนต์จากเม็กซิโกหลายครั้ง โดยกล่าวหาเม็กซิโกว่าเป็นเส้นทางที่จีนใช้ในการส่งออกสินค้ามายังสหรัฐอเมริกา
ความคิดเห็นจากนักวิเคราะห์และภาคธุรกิจต่อแนวนโยบายของ Donald Trump
สภาธุรกิจเม็กซิโกด้านการค้าต่างประเทศ การลงทุน และเทคโนโลยี (Mexican Business Council for Foreign Trade, Investment and Technology) ได้แถลงเกี่ยวกับนโยบายของ Donald Trump และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเม็กซิโก โดยดร. César Armando Salazar López ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า “Trump เป็นบุคคลที่มีความซับซ้อน และรู้ดีว่าประเด็นที่อ่อนไหวที่สุดในแต่ละประเทศที่เขาเข้าไปเกี่ยวข้องนั้นคืออะไร ซึ่งเขาสามารถทำให้เกิดความไม่แน่นอนระหว่างประเทศได้” ทั้งนี้ เห็นว่าแถลงการณ์ตอบโต้ของประธานาธิบดี Sheinbaum เป็นการตอบโต้ที่เหมาะสมอยู่แล้ว เนื่องจากทั้งสองประเทศมีความเชื่อมโยงทางการค้าและข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างกัน และการเรียกเก็บภาษีดังกล่าวจะส่งผลเสียต่อทั้งสองประเทศ พร้องยังได้อธิบายเพิ่มเติมว่า “หากมีการเรียกเก็บภาษี เราจะต้องเข้าสู่กระบวนการระงับข้อพิพาทตามที่ระบุไว้ในข้อตกลงการค้าเสรี”
ผู้ประกอบการและภาคธุรกิจได้แสดงความเห็นต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นดังนี้:
1. การเรียกเก็บภาษีจะส่งผลร้ายแรงต่อเศรษฐกิจของเม็กซิโก เนื่องจากการส่งออกมีสัดส่วนมากกว่า 40% ของ GDP และ 85% ของการส่งออกทั้งหมดเป็นการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ 50% ของการนำเข้ามาจากสหรัฐอเมริกา ผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้านำเข้า และอาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ
2. การเพิ่มกำแพงภาษีนำเข้าของสหรัฐจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานระดับโลก
3. ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจะสร้างความผันผวนอย่างมากต่อค่าเงินในตลาดเงินระหว่างประเทศ และความไม่แน่นอนนี้จะส่งผลกระทบต่อการลงทุน และการสูญเสียตำแหน่งงาน
4. แม้ว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นในภูมิภาคอเมริกาเหนือและจีน แต่เนื่องจากเป็นตลาดที่มีความต้องการสูง ดังนั้น มาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่คุณค่าทั่วโลกได้
ประธานาธิบดี Sheinbaum แสดงความหวังว่าจะสามารถพบปะกับสมาชิกในรัฐบาลของว่าที่ประธานาธิบดี Trump เพื่อสร้างแนวทางแก้ไขร่วมกันอย่างต่อเนื่อง โดยกล่าวว่า “ปัญหาการย้ายถิ่นฐานและยาเสพติดในสหรัฐอเมริกาไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการข่มขู่หรือการเรียกเก็บภาษี สิ่งที่จำเป็นคือความร่วมมือและความเข้าใจซึ่งกันและกันเพื่อจัดการกับความท้าทายเหล่านี้” นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงปัญหาการลักลอบนำเข้าอาวุธผิดกฎหมายจากสหรัฐอเมริกาเข้าสู่เม็กซิโก ซึ่งเป็นอีกประเด็นที่อาจส่งผลต่อความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอเมริกาเหนือในอีกสี่ปีข้างหน้า
ประธานาธิบดี Sheinbaum ได้ตอบโต้ต่อข้อกล่าวหาของ Trump ว่า 70% ของอาวุธผิดกฎหมายที่ยึดได้จากอาชญากรในเม็กซิโกมาจากสหรัฐ เม็กซิโกไม่ได้ผลิตอาวุธเหล่านี้ และชีวิตที่สูญเสียในเม็กซิโกเกิดจากความรุนแรงที่เป็นผลจากการตอบสนองต่อความต้องการยาเสพติดในสหรัฐ นอกจากนี้ ปัจจุบันรัฐสภาเม็กซิโกกำลังอยู่ในกระบวนการอนุมัติการปฏิรูปทางรัฐธรรมนูญที่จะเพิ่มโทษในกรณีการผลิต การแจกจ่าย และการค้าเฟนทานิล พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนของความร่วมมือในระดับนานาชาติในการแก้ปัญหาการลักลอบนำเข้าสารเคมีตั้งต้นที่ใช้ในการผลิตยาเสพติดสังเคราะห์
ทั้งนี้ ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา Trump ได้มีการโพสต์ข้อความลงบนสื่อออนไลน์ว่าได้สนทนากับประธานาธิบดีเม็กซิโกคนใหม่ โดยเม็กซิโกได้ตกลงที่จะปิดพรมแดนทางเพื่อหยุดชาวเม็กซิกันที่ต้องการย้ายถิ่นฐานเข้าไปในสหรัฐฯ นอกจากนี้ ยังพูดคุยเกี่ยวกับการแก้ปัญหาการลักลอบนำเข้ายาเสพติดเข้าสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมาประธานาธิบดี Sheinbam ได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อความจากโพสต์ดังกล่าวว่าการสนทนากับ Trump เป็นเพียงการหารือแลกเปลี่ยนกลยุทธ์ด้านการย้ายถิ่นฐานของชาวเม็กซิกัน และย้ำว่าจุดยืนของเม็กซิโกคือ “ไม่ปิดพรมแดน” อย่างแน่นอน และยังกล่าวเพิ่มเติมว่าเม็กซิโกเคยร่วมมือกับรัฐบาล Biden ในการแก้ไขปัญหาจำนวนของผู้อพยพแล้ว ซึ่งกลยุทธ์นั้นได้นำไปสู่การลดจำนวนผู้อพยพข้ามพรมแดนสหรัฐฯ ถึง 75% ในปีที่ผ่านมา
ข้อสังเกต/ความเห็น
แม้จะยังไม่ชัดเจนว่า Trump จะดำเนินการตามที่ประกาศไว้หรือไม่ แต่แนวนโยบายดังกล่าวก่อให้เกิดความความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อความสัมพันธ์และเศรษฐกิจในระดับโลก เนื่องจากมาตรการตอบโต้ทางภาษีระหว่างประเทศที่เป็นตลาดขนาดใหญ่จะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในวงกว้าง อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจของสหรัฐและเม็กซิโกมีความเกี่ยวพันและพึ่งพากันอย่างมาก ดังนั้น การขึ้นภาษีกับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก 25% จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมยานยนต์ เนื่องจากปัจจุบันบริษัทรายใหญ่ของสหรัฐจำนวนมากได้เข้ามาตั้งฐานการผลิตเพื่อส่งสินค้ากลับเข้าไปยังสหรัฐ เช่น General Motors, Stellantis และ Ford Motor Company ดังนั้น การขึ้นภาษีนำเข้าอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายหรือสามารถทำได้อย่างรวดเร็วตามที่ได้ประกาศไว้ เพราะนอกจากจะมีความเสี่ยงที่เม็กซิโกจะตอบโต้ด้วยมาตรการเดียวกันแล้ว ภาคธุรกิจของสหรัฐอาจจะคัดค้านนโยบายดังกล่าว สำหรับประเทศไทยอาจจะมีโอกาสได้รับผลกระทบเชิงบวกจากนโยบายดังกล่าว เนื่องจากหากสหรัฐและเม็กซโกเดินหน้าตอบโต้ทางภาษีระหว่างกัน จะทำให้ทั้งสองประเทศต้องหาแหล่งนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นทดแทน ซึ่งจะเป็นโอกาสของไทยในการส่งสินค้าไปยังทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าที่ไทยมีศักยภาพ เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน ข้าว เป็นต้น
——————————————————————
ที่มา
– Mexican Presidency
https://www.gob.mx/presidencia
– The Mexican Business Council for Foreign Trade, Investment and Technology (COMCE)
https://www.comce.org.mx/
– El Economista
https://www.eleconomista.com.mx/internacionales/trump-amenaza-sheinbaum-aranceles-25-mexico-embestida-criminales-20241104-732761.html
– National University of Mexico (UNAM)
https://www.unam.mx/
– Mexico’s president denies Trump’s claim that she agreed to shut down the US-Mexico border
https://edition.cnn.com/2024/11/28/politics/trump-mexican-president-call-tariffs/index.html

thThai