ความท้าทายของเศรษฐกิจเยอรมนี ปี 2025

ในปี 2025 เศรษฐกิจเยอรมนีในหลากหลายอุตสาหกรรมกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ทั้งการลดตำแหน่งงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ การปิดตัวของโรงงานในอุตสาหกรรมเคมี ความถดถอยของอุตสาหกรรมค้าปลีก อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เศรษฐกิจได้คาดการณ์ว่าจะสภาวะเงินเฟ้อที่เริ่มลดลง และอัตราค่าจ้างแรงงานที่เพิ่มขึ้น อาจจะทำให้เศรษฐกิจโดยรวมฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยในปี 2025 คาดการณ์ภาพรวมเศรษฐกิจหลักในเยอรมนี ดังนี้

อุตสาหกรรมยานยนต์

อุตสาหกรรมยานยนต์ในเยอรมนีมียอดขายสูงที่สุด และอัตราการจ้างงานกว่า 770,000 ตำแหน่ง และถือเป็นอุตสาหกรรมหลักของเศรษฐกิจเยอรมนีที่กำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างรุนแรง ยอดขายรถยนต์ลดลงตั้งแต่ช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ในปี 2020 ซึ่งในปี 2024 มีรถใหม่จดทะเบียนเพิ่ม 2.8 ล้านคัน ลดลงกว่าในปี 2019 ประมาณร้อยละ 25 ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าชะลอตัวและการแข่งขันที่รุนแรงจากจีน ทำให้บริษัทผู้ผลิตรายใหญ่หลายรายจำเป็นต้องลดกำลังการผลิต ต้นทุนการผลิต หรือลดจำนวนพนักงานลง อาทิ บริษัท Volkswagen, Ford, Bosch, Michelin และ Mercedes เป็นต้น นอกจากนี้ เป้าหมายลดการปล่อย CO₂ ของสหภาพยุโรปในปี 2025 เพิ่มแรงกดดันให้บริษัทต้องเพิ่มยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าอย่างรวดเร็ว มิฉะนั้นจะต้องเผชิญค่าปรับมหาศาล อีกทั้ง การกลับมาของ Donald Trump ในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนโยบายกีดกันทางการค้าอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกรถยนต์ของเยอรมนีในตลาดต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม Dataforce บริษัทวิเคราะห์ตลาดอุตสาหกรรมยานยนต์เยอรมนี วิเคราะห์ว่าตลาดอุตสาหกรรมยานยนต์ของยุโรปอยู่ในภาวะอิ่มตัว และคาดการณ์ว่าตลาดจะอยู่ในสภาวะซบเซาอีกประมาณ 10 ปี

อุตสาหกรรมค้าปลีก

ชาวเยอรมนีใช้จ่ายอย่างประหยัดมากขึ้น จากสภาวะเศรษฐกิจและการเมืองที่ไม่แน่นอน แม้ว่าในปี 2025 จะมีการปรับค่าจ้างเพิ่มขึ้นและอัตราเงินเฟ้อลดลงก็ตาม ส่งผลให้อุตสาหกรรมการค้าปลีกชะลอตัวลง จากข้อมูลของสมาคมการค้าเยอรมัน (Handelsverband Deutschland) คาดว่ายอดขายในปี 2024 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ร้อยละ 1.3 เมื่อเทียบกับยอดขายปี 2023 แม้ราคาสินค้าจะปรับสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของ สถาบันวิจัยข้อมูลทางเศรษฐกิจ Ifo พบว่าในช่วงเทศกาลที่ผ่านมาชาวเยอรมันใช้จ่ายกันมากขึ้น แต่บริษัทค้าปลีกยังไม่พอใจกับผลประกอบการในปีที่ผ่านมา Mr. Rolf Bürkl ผู้เชี่ยวชาญด้านผู้บริโภคของ NIM คาดว่าการบริโภคจะเริ่มเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังปี 2568 จากผลการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่ และนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ

อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์

อีกหนึ่งภาคอุตสาหกรรมหลักของเยอรมนีคืออุตสาหกรรมเคมีมีการจ้างงานกว่า 477,000 ตำแหน่ง มีการเติบโตที่ชะลอตัว ซึ่งเป็นผลมาจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น สมาคมอุตสาหกรรมเคมี (Verband der Chemischen Industrie) คาดการณ์ว่าการผลิตในปี 2025 จะเติบโตเพียงร้อยละ 0.5 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต บริษัท BASF และ Evonik ได้ประกาศลดจำนวนพนักงาน และปิดบางส่วนของการผลิตเพื่อลดต้นทุนการผลิต ทั้งนี้ บริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมเคมีได้ตั้งความหวังไว้กับรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 เกี่ยวกับนโยบายการลดราคาพลังงาน อย่างไรก็ตาม การเพิ่มการลงทุนจากบริษัทต่างประเทศ เช่น Eli Lilly และ Sanofi ยังคงเป็นสัญญาณเชิงบวก.

อุตสาหกรรมก่อสร้าง

แม้ความต้องการพื้นที่อยู่อาศัยในเยอรมนียังอยู่ในระดับที่สูงโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ แต่อุตสาหกรรมก่อสร้างยังอยู่ในภาวะวิกฤติ ราคาค่าก่อสร้างที่สูงและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มขึ้นกำลังสร้างแรงกดดันให้กับนักลงทุน โดยจากรายงานการสำรวจของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ Ifo พบว่าบริษัทมากกว่าครึ่งหนึ่งที่สำรวจมีผลประกอบการลดลงในปีนี้ อย่างไรก็ตาม จากการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรปในช่วงสิ้นปี 2024 อาจจะทำให้สถานการณ์ในตลาดอุตสาหกรรมก่อสร้างดีขึ้น

อุตสาหกรรมเหล็ก

อุตสาหกรรมเหล็กในเยอรมนีกำลังเผชิญกับการปรับโครงสร้างมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อทำให้การผลิตเหล็กซึ่งการผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณมากเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น นอกจากนี้ การนำเข้าเหล็กราคาถูกจากเอเชีย และต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น ทำให้อุตสาหกรรมเหล็กในเยอรมนีกำลังอยู่ในช่วงท้าทาย บริษัท Thyssenkrupp ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดของเยอรมนี คาดว่าจะลดจำนวนงานจากปัจจุบัน 27,000 ตำแหน่งเหลือประมาณ 16,000 ตำแหน่งภายในหกปี

 

ที่มา :

WirtschaftsWoche / www.wiwo.de

Foto von Bundesministerium für Wirtschaft und Klimaschutz

thThai