มูลค่าบิตคอยน์พุ่งสูง ดึงดูดการลงทุนและกระตุ้นการเรียกร้องให้ถูกกฎหมายในเวียดนาม

บิตคอยน์ (Bitcoin) ถูกคาดการณ์ให้เป็นหนึ่งในเครื่องมือการลงทุนที่มีกำไรมากที่สุดในปี 2568 แม้จะยังไม่ได้รับการรับรองตามกฎหมายในเวียดนาม

ปี 2567 ถือเป็นหมุดหมายประวัติศาสตร์ของบิตคอยน์ เมื่อราคาพุ่งทะลุ 100,000 เหรียญสหรัฐต่อบิตคอยน์ (BTC) เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2567 และขึ้นสูงสุดถึง 108,000 เหรียญสหรัฐต่อบิตคอยน์ ในวันที่ 17 ธันวาคม 2567 ก่อนที่จะร่วงลงเหลือ 92,000 เหรียญสหรัฐต่อบิตคอยน์ ในวันที่ 20 ธันวาคม 2567 หลังจากนาย Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (US Federal Reserve: FED) ประกาศว่า FED ไม่สามารถถือครองบิตคอยน์ได้ และไม่มีแผนแก้ไขกฎหมายเพื่อให้ทำได้ อย่างไรก็ตาม ราคาของบิตคอยน์ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วสู่ระดับใกล้ 99,000 เหรียญสหรัฐต่อบิตคอยน์ ในช่วงสิ้นปี 2567 เนื่องจากนักลงทุนรายใหญ่ยังคงเข้าซื้อและถือครอง โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2568 เว็บไซต์ติดตามราคาและรวบรวมข้อมูลของสินทรัพย์และสกุลเงินดิจิทัล CoinMarketCap รายงานว่าราคาบิตคอยน์อยู่ที่ 97,680 เหรียญสหรัฐต่อบิตคอยน์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.22 เมื่อเทียบกับ 24 ชั่วโมงก่อนหน้า

ตั้งแต่ต้นปี 2567 ราคาสกุลเงินดิจิทัลหลัก ๆ (Cryptocurrency) มีการเติบโตในทิศทางบวก เช่น บิตคอยน์เพิ่มขึ้นร้อยละ 130 อีเธอเรียม (Ethereum) เพิ่มขึ้นร้อยละ 52 บีเอ็นบี (BNB) เพิ่มขึ้นร้อยละ 124 และโดจคอยน์ (Dogecoin) เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 300

ปี 2567 ยังถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเงินดิจิทัล ด้วยการเปิดตัวกองทุนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (exchange-traded funds: ETF) ของบิตคอยน์และอีเธอเรียม ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าตลาดใหญ่เป็นอันดับสองรองจากบิตคอยน์ นี่เป็นสัญญาณของการมีส่วนร่วมอย่างเป็นระบบของนักลงทุนสถาบันและผู้จัดการสินทรัพย์มืออาชีพระดับโลกในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ETF คือเครื่องมือการลงทุนที่รวบรวมสินทรัพย์ เช่น หุ้น พันธบัตร เงินดิจิทัล และทรัพย์สินประเภทอื่น ๆ เข้าไว้ในกองทุน ซึ่งสามารถซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้เช่นเดียวกับหุ้นรายตัว (individual stock)

นักลงทุนในบิตคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ยังมองไปข้างหน้าถึงการบริหารประเทศของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ได้ให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนนโยบายที่เป็นมิตรต่ออุตสาหกรรมเงินดิจิทัล ในขณะนี้ สภาที่ปรึกษาด้านสินทรัพย์ดิจิทัลกำลังถูกจัดตั้งขึ้นหลังจากสมาคมบล็อกเชนแห่งสหรัฐอเมริกา (US Blockchain Association) ได้ส่งจดหมายถึงประธานาธิบดีที่กำลังจะรับตำแหน่งและสภาคองเกรส เพื่อผลักดันนโยบายที่ส่งเสริมการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลในช่วง 100 วันแรกของการดำรงตำแหน่ง ก่อนหน้านี้ ในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง ทรัมป์เคยกล่าวถึงแนวคิดในการจัดตั้งทุนสำรองบิตคอยน์ (Bitcoin Reserve) เมื่อเขาเข้ารับตำแหน่งอีกครั้ง

ดร. Dinh Trong Thinh นักเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่า สกุลเงินดิจิทัลรวมถึงบิตคอยน์ เป็นการลงทุนที่ทำกำไรมากที่สุดในปี 2567 และจะยังคงเป็นช่องทางการลงทุนที่โดดเด่นในปี 2568 โดยเชื่อว่าราคาของสกุลเงินดิจิทัลจะเติบโตต่อเนื่องในปี 2568 แม้ว่าการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลจะยังไม่เป็นที่แพร่หลายในเวียดนาม แต่ในความเป็นจริง คนเวียดนามจำนวนมากเริ่มลงทุนและถือครองสกุลเงินดิจิทัลแล้ว รัฐบาลควรเร่งออกกรอบกฎหมายสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลและสกุลเงินดิจิทัล เพื่อปกป้องนักลงทุนและป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษี

ด้วยความที่สกุลเงินดิจิทัลถูกมองว่าเป็นการลงทุนที่ทำกำไรสูง ทำให้การฉ้อโกงที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลกลายเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในเวียดนาม ตัวอย่างล่าสุดคือกรณีของนาย Pho Duc Nam จากจังหวัดบ่าเหรี่ยะ – หวุงเต่า (Ba Ria – Vung Tau) หรือที่รู้จักในโลกโซเชียลมีเดีย TikTok ในนาม “Mr. Pips” เขาล่อลวงผู้คนกว่า 2,600 รายให้เข้าร่วมการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและตราสารอนุพันธ์ (derivatives trading) และถูกเจ้าหน้าที่รัฐยึดหรืออายัดทรัพย์สินมูลค่า 5.2 ล้านล้านด่ง หรือประมาณ 211.8 ล้านเหรียญสหรัฐ อีกกรณีคือ Ho Thị Bích Ngọc จากกรุงฮานอย ซึ่งก่อเหตุฉ้อโกงในลักษณะเดียวกันและยักยอกทรัพย์สินมูลค่าเกือบ 500 พันล้านด่ง หรือประมาณ 19.6 ล้านเหรียญสหรัฐ

แม้ว่าเวียดนามยังไม่มีกรอบกฎหมายสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล แต่การนิยามสินทรัพย์ดิจิทัลและสกุลเงินดิจิทัล รวมถึงข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ได้ถูกรวมอยู่ในร่างกฎหมายอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งรัฐบาลได้เสนอต่อสภาแห่งชาติให้พิจารณา นอกจากนี้ คณะกรรมการกรมการเมือง (Politburo) ยังอนุมัติโครงการจัดตั้งศูนย์การเงินนานาชาติในนครโฮจิมินห์ และศูนย์การเงินระดับภูมิภาคในนครดานัง ซึ่งถือเป็นโอกาสสำหรับเวียดนามในการทดลองจัดตั้งตลาดซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล

นาย Phan Duc Trung รองประธานสมาคม Vietnam Blockchain กล่าวว่า การรับรองสินทรัพย์ดิจิทัลให้ถูกกฎหมายจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้างมากขึ้นสำหรับการพัฒนาธุรกิจในเวียดนาม โดยการรับรองสินทรัพย์ดิจิทัลจะช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และกระตุ้นให้ธุรกิจของคนเวียดนามกลับมาลงทุนในประเทศ แทนที่จะต้องไปจดทะเบียนในต่างประเทศ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังต้องมีมาตรการดึงดูดการลงทุนที่มีคุณภาพในด้านนี้ พร้อมทั้งป้องกันการฉ้อโกงในตลาดซื้อขาย

นาย Trinh Ha ผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์ของ Exness Investment Bank กล่าวว่า ชุมชนนักลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลในเวียดนามกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เข้าถึงเทคโนโลยีได้ง่ายกว่าและมีความรู้ด้านการลงทุนมากกว่ารุ่นก่อน มูลค่าของสกุลเงินดิจิทัลพุ่งสูงขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา และจะยังคงเป็นเครื่องมือทางการเงินที่น่าดึงดูดในอนาคต โดยเฉพาะในกรณีของบิตคอยน์ที่มีอุปทานจำกัด และได้รับการยอมรับในระดับโลกว่าเป็นสินทรัพย์ทางการเงิน นอกจากนี้ ประมาณร้อยละ 45 ของผู้ถือบิตคอยน์ต้องการถือครองระยะยาว ซึ่งบ่งชี้ว่านักลงทุนส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนระยะยาวที่คาดหวังว่ามูลค่าของสินทรัพย์จะเพิ่มขึ้นในอนาคต

 (แหล่งที่มา https://vietnamnews.vn/ ฉบับวันที่ 6 มกราคม 2568)

วิเคราะห์ผลกระทบ

บิตคอยน์ (Bitcoin) หรือ BTC เป็นสกุลเงินดิจิทัลแรกของโลกที่ถูกสร้างขึ้นบนเทคโนโลยี บล็อกเชน (Blockchain) โดยมีจุดเด่นที่การเป็นระบบการชำระเงินออนไลน์ที่ไม่ขึ้นกับธนาคารกลางหรือรัฐบาลใด ๆ ซึ่งทำให้ได้รับความนิยมทั่วโลกในฐานะสินทรัพย์ดิจิทัลและช่องทางการลงทุนที่สำคัญ แม้ว่า ตลาดสกุลเงินดิจิทัลในเวียดนาม จะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ต้นปี 2567 ธนาคารแห่งชาติเวียดนามได้ประกาศชัดเจนว่าสกุลเงินดิจิทัลยังไม่ได้รับการยอมรับให้เป็นสื่อกลางการชำระหนี้ตามกฎหมาย และยังไม่สามารถใช้ในการแลกเปลี่ยนอย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตาม การถือครองและการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลในระดับบุคคลยังถือเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ โดยไม่ขัดต่อกฎหมายปัจจุบัน

ข้อมูลในปี 2567 ระบุว่ากลุ่มคนที่ครอบครองสกุลเงินดิจิทัลส่วนใหญ่อยู่ในช่วงวัย Gen Z และ Gen Y ซึ่งเป็นกลุ่มที่เปิดกว้างต่อการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ และใช้ชีวิตออนไลน์เป็นส่วนสำคัญ การเปิดรับสกุลเงินดิจิทัลในกลุ่มนี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้การใช้งานและการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลเพิ่มสูงขึ้น

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 นายกรัฐมนตรีเวียดนามได้ออกคำสั่งเกี่ยวกับแผนปฏิบัติการระดับชาติ เพื่อมุ่งป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน โดยแผนนี้ประกอบด้วย 17 มาตรการสำคัญ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความโปร่งใสในระบบการเงินของประเทศ และยกระดับมาตรฐานด้านความปลอดภัยทางการเงินของเวียดนาม โดยเฉพาะในด้านที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัล การดำเนินการดังกล่าวยังช่วยให้เวียดนามเตรียมพร้อมสำหรับการพัฒนากรอบกฎหมายที่รองรับการใช้สกุลเงินดิจิทัลอย่างถูกต้องในอนาคต ซึ่งจะเปิดโอกาสให้คริปโตกลายเป็นส่วนสำคัญในระบบเศรษฐกิจของประเทศ

แม้ว่าปัจจุบันบิตคอยน์ยังไม่ได้รับการยอมรับในฐานะสื่อกลางการชำระเงินที่ถูกต้องในเวียดนาม แต่ความพยายามของรัฐบาลและการเติบโตของกลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่สะท้อนให้เห็นถึงความพร้อมของประเทศในการพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลและเทคโนโลยีบล็อกเชนในอนาคต สัญญาณเหล่านี้เป็นแรงผลักดันสำคัญที่ช่วยให้เวียดนามก้าวสู่ยุคใหม่ของเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างมั่นคงและโปร่งใส

นำเสนอโอกาส/แนวทาง

เวียดนามกำลังเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจยุคดิจิทัลอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในด้านการทำธุรกรรมทางการเงินที่พัฒนาไปสู่สังคมไร้เงินสด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการใช้สกุลเงินดิจิทัลและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องให้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปัจจุบัน การชำระเงินในเวียดนามได้รับการปรับเปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยการใช้งานแอปพลิเคชันทางการเงิน การสแกนรหัสคิวอาร์ (QR Codes) และกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-wallets) ซึ่งกลายเป็นวิธีการชำระเงินที่ได้รับความนิยมในวงกว้างทั้งในเขตเมืองและชนบท การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวช่วยลดการพึ่งพาเงินสด เพิ่มความสะดวกในการทำธุรกรรม และสร้างโอกาสใหม่สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการขยายตลาด สำหรับผู้ประกอบการไทยที่สนใจเข้าสู่ตลาดเวียดนาม ควรคำนึงถึง ช่องทางการชำระเงินแบบดิจิทัล เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการปรับระบบการรับชำระเงินให้รองรับ QR Codes หรือการพัฒนาระบบที่เชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ยอดนิยมในเวียดนาม ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับผู้บริโภคในประเทศ

นอกเหนือจากการพัฒนาด้านการชำระเงิน เวียดนามยังมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการก้าวขึ้นเป็น ผู้นำด้านเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายในปี 2573 โดยรัฐบาลได้ประกาศกลยุทธ์บล็อกเชนแห่งชาติ ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีและสร้างระบบนิเวศที่สนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ โดยการสร้างแบรนด์บล็อกเชนชั้นนำ 20 แบรนด์ เพื่อแข่งขันในตลาดระดับภูมิภาคและระดับโลก การจัดตั้งศูนย์ทดสอบ (Testing Centers) อย่างน้อย 3 แห่ง เพื่อสนับสนุนการพัฒนาและทดลองใช้เทคโนโลยีใหม่ และการพัฒนาทรัพยากรบุคคลด้านบล็อกเชน โดยมุ่งสร้างผู้เชี่ยวชาญและนักพัฒนาที่มีศักยภาพสูง กลยุทธ์บล็อกเชนแห่งชาตินี้แสดงถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลเวียดนามในการใช้เทคโนโลยีเพื่อผลักดันเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล การลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพด้านบล็อกเชน หรือการสร้างความร่วมมือในด้านเทคโนโลยีนี้ เป็นโอกาสที่ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้ประโยชน์เพื่อขยายตลาดและพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ การเปลี่ยนผ่านของเวียดนามสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ไม่เพียงสร้างโอกาสในด้านธุรกิจ แต่ยังเป็นการแสดงถึงความพร้อมของประเทศในการยอมรับเทคโนโลยีล้ำสมัย ซึ่งถือเป็นเวทีที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนไทยที่ต้องการขยายธุรกิจในเวียดนามเพื่อร่วมสร้างนวัตกรรม และพัฒนาความสัมพันธ์ทางธุรกิจในระยะยาว

thThai