กฎหมายปศุสัตว์ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 คาดว่าจะส่งผลดีต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมปศุสัตว์อย่างยั่งยืน โดยจะช่วยส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจปศุสัตว์และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล เนื่องจากตามกฎหมายใหม่ การเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ที่ไม่อนุญาตให้ทำการผลิตปศุสัตว์ในเขตเมืองและพื้นที่อยู่อาศัยจะถูกห้าม ยกเว้นการเลี้ยงสัตว์เพื่อความสวยงามหรือในห้องปฏิบัติการ โดยจะไม่ทำให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งกฎหมายนี้จะทำให้ธุรกิจปศุสัตว์ขนาดใหญ่ที่มีทรัพยากรเพียงพอสามารถดำเนินการเลี้ยงสัตว์เพื่อการบริโภคได้

สถานการณ์โรคระบาดและราคาอาหารสัตว์ที่สูง ทำให้จำนวนครัวเรือนที่เลี้ยงสุกรลดลงจาก ร้อยละ 70 เหลือเพียงร้อยละ 49 โดยคาดว่าในปลายปี 2567 ครัวเรือนจำนวนมากจะขายสุกรเนื่องจากข้อกำหนดใหม่ ส่งผลให้ธุรกิจปศุสัตว์ขยายส่วนแบ่งตลาดได้มากขึ้น

รองศาสตราจารย์ ดร. Nguyen Thuong Lang อาจารย์อาวุโสของสถาบันการค้าระหว่างประเทศและเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์แห่งชาติ กล่าวว่า กฎหมายนี้จะทำให้อุตสาหกรรมปศุสัตว์ของเวียดนามพัฒนาไปในทิศทางที่สอดคล้องกับเศรษฐศาสตร์ปศุสัตว์ โดยเสริมสร้างบทบาทของธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่และทำให้สามารถปฏิบัติตามมาตรฐานสากลในห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ได้ดียิ่งขึ้น

ในขณะเดียวกัน จะมีการเพิ่มมาตรการจัดการเพื่อยกระดับทั้งปริมาณและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ให้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ของตลาด พร้อมทั้งสร้างห่วงโซ่อาหารในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ให้เป็นมืออาชีพในทุกขั้นตอนเพื่อรับประกันความปลอดภัยทางเทคนิค สุขอนามัย การกักกันสัตว์และพืช การปกป้องสิ่งแวดล้อม และการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน

บริษัทหลักทรัพย์ TPS (TPS Securities Company) เชื่อว่าอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรจะมีการปฏิรูปครั้งใหญ่ในช่วงปี 2568 – 2569 โดยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในอุปสงค์และอุปทานของตลาด เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญกับปัญหาสุขภาพและความปลอดภัยของอาหารมากขึ้น นอกจากนี้ ธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีการเลี้ยงสุกรในระบบปิดจะได้เปรียบจากต้นทุนการผลิตที่ต่ำและอัตราการสูญเสียที่น้อย เทคโนโลยีจะถูกนำมาใช้มากขึ้นในอุตสาหกรรมปศุสัตว์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยเฉพาะในฟาร์ม

ตามการคาดการณ์ของ TPS ผลผลิตสุกรของเวียดนามในปี 2568 คาดว่าจะสูงถึง 3.8 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับปี 2567 โดยมีการขยายขนาดฝูงสุกรหลังจากฟื้นตัวจากพายุไต้ฝุ่นยางิ และการควบคุมโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรได้ดีขึ้น ขณะที่การบริโภคสุกรในเวียดนามคาดว่าจะอยู่ที่ 3.9 ล้านตันในปี 2568 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 เมื่อเทียบกับปี 2567 และจะถึง 4.7 ล้านตันในปี 2573 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 3.1 ต่อปี

 (แหล่งที่มา https://vietnamnews.vn/ ฉบับวันที่ 13 มกราคม 2568)

วิเคราะห์ผลกระทบ

ธุรกิจปศุสัตว์ของเวียดนามในปัจจุบันมีแนวโน้มฟื้นตัวและกลับมาทำกำไรได้ดีขึ้น จากปัจจัยหลักคือการลดลงของราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์และการฟื้นตัวของราคาสุกรที่ได้รับผลกระทบจากการลดลงของอุปทานสุกรในตลาด ซึ่งทำให้ราคาในตลาดเพิ่มสูงขึ้น ธุรกิจปศุสัตว์ขนาดใหญ่จะได้รับประโยชน์อย่างมากจากการบังคับใช้กฎระเบียบการย้ายฟาร์มปศุสัตว์อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2568 ส่งผลให้ฟาร์มปศุสัตว์ขนาดเล็กที่ไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดจะต้องประสบปัญหามากมาย

กฎหมายปศุสัตว์ที่มีผลบังคับใช้ในปี 2563 ได้ห้ามการเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ที่ไม่อนุญาตทั้งในเขตเมือง ตำบล และพื้นที่อยู่อาศัย โดยกำหนดให้เมืองและจังหวัดต่าง ๆ มีเวลา 5 ปีในการดำเนินการให้ฟาร์มปศุสัตว์ที่ไม่เหมาะสมต้องย้ายออกจากพื้นที่ที่อยู่อาศัยหรือหยุดดำเนินการ ภายในวันที่ 1 มกราคม 2568 ซึ่งถือเป็นการย้ายภาคการเกษตรครั้งใหญ่ในประเทศ และเป็นการปรับโครงสร้างในอุตสาหกรรมปศุสัตว์

การนำกฎระเบียบเหล่านี้มาใช้จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในส่วนแบ่งการตลาดของธุรกิจปศุสัตว์ โดยฟาร์มขนาดเล็กจะมีการปรับตัวหรือย้ายออกจากตลาด ส่งผลให้บริษัทขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมทางการเงินและเทคโนโลยีในการดำเนินงานได้รับประโยชน์มากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทที่มีการดำเนินงานในระบบโรงเรือนปิดตามรูปแบบ 3F (Feed – Farm – Food) ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงกระบวนการผลิตอาหารสัตว์ ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ และการผลิตอาหารที่มีคุณภาพ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล

การปรับโครงสร้างดังกล่าวเป็นแนวโน้มที่เห็นในหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งมีการดำเนินงานในลักษณะนี้มาแล้ว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและลดการสูญเสีย รวมทั้งเพิ่มความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ ทำให้ธุรกิจปศุสัตว์ในอนาคตจะเน้นที่การพัฒนาอย่างมีระบบและยั่งยืนมากขึ้น โดยการนำเทคโนโลยีและการจัดการที่ดีมาใช้ในการผลิต ทั้งนี้เป็นการสร้างโอกาสในการเติบโตของธุรกิจปศุสัตว์ขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นำเสนอโอกาส/แนวทาง

เวียดนามถือเป็นประเทศที่มีข้อได้เปรียบในด้านอุตสาหกรรมปศุสัตว์ เนื่องจากมีทรัพยากรทางธรรมชาติและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการเลี้ยงสัตว์ รวมถึงแรงงานที่มีทักษะและค่าใช้จ่ายต่ำ จึงมีศักยภาพในการเติบโตอย่างมากในอุตสาหกรรมนี้ โดยในปี 2567 อุตสาหกรรมปศุสัตว์ในเวียดนามตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มมูลค่าการผลิตขึ้นประมาณร้อยละ 4 – 5 เมื่อเทียบกับปี 2566 โดยคาดการณ์ว่าสัดส่วนของปศุสัตว์ในภาคการเกษตรโดยรวมจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 28 – 30 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่ต่อเนื่องในภาคส่วนนี้

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ในเวียดนามคือการดำเนินการตามกฎระเบียบการย้ายฟาร์มปศุสัตว์ขนาดเล็กในเมือง ตำบล และพื้นที่อยู่อาศัย ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปี 2568 กฎหมายนี้ไม่ได้เป็นเพียงการปรับโครงสร้างภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสในการสร้างอุตสาหกรรมปศุสัตว์ขนาดใหญ่และทันสมัยที่สามารถแข่งขันในระดับสากลได้ การย้ายฟาร์มปศุสัตว์ขนาดเล็กออกจากพื้นที่เมืองและพื้นที่อยู่อาศัยจะส่งผลให้การผลิตเนื้อสัตว์มีความเข้มข้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้เวียดนามสามารถเพิ่มการมีส่วนร่วมในห่วงโซ่การผลิตอาหารของโลกได้มากขึ้น รวมทั้งช่วยยกระดับมาตรฐานการผลิตและการจัดการในอุตสาหกรรมปศุสัตว์

ในขณะที่อุตสาหกรรมปศุสัตว์ในเวียดนามเติบโตขึ้น การนำเข้าผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์โดยเฉพาะเนื้อสุกรก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศที่มีการผลิตเนื้อสุกรคุณภาพสูง เช่น ประเทศไทย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกอาหารปศุสัตว์รายใหญ่ไปยังเวียดนาม การที่ผู้บริโภคเวียดนามมีความนิยมในการบริโภคเนื้อสุกรนำเข้ามากขึ้น แสดงให้เห็นถึงโอกาสในการขยายตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์จากประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยอาจต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้น เนื่องจากเวียดนามเองก็มีแผนที่จะพัฒนาภาคอุตสาหกรรมปศุสัตว์ของตนเองให้ทันสมัยและสามารถผลิตอาหารสัตว์ในประเทศได้มากขึ้น

นอกจากนี้ การที่ผู้บริโภคในเวียดนามให้ความสำคัญกับสุขภาพและความปลอดภัยของอาหารมากขึ้นนั้น ยังสะท้อนถึงความกังวลของรัฐบาลเวียดนามต่อมาตรฐานคุณภาพของอาหารและแหล่งกำเนิดอาหาร โดยเฉพาะในช่วงที่มีการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการจัดการฟาร์มปศุสัตว์ การควบคุมสุขอนามัยอาหารจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการทำธุรกิจในตลาดเวียดนาม ซึ่งนักธุรกิจไทยที่ต้องการขยายตลาดไปยังเวียดนามจะต้องให้ความสำคัญกับการรักษามาตรฐานคุณภาพของผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์และการตรวจสอบแหล่งที่มาของสินค้าด้วย เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดได้ในระยะยาว โดยเฉพาะในช่วงที่ผู้บริโภคมีความสนใจต่อคุณภาพและความปลอดภัยของอาหารสูงขึ้น

thThai