ทรัมป์กลับมาอีกครั้ง ความท้าทายใหม่ของความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ

โดนัลด์ ทรัมป์ ได้สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง ท่ามกลางความกังวลของประชาคมโลกต่อทิศทางนโยบายที่อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจทั้งสอง ด้วยรูปแบบการบริหารที่แข็งกร้าวและไม่แน่นอน โดยเฉพาะนโยบายต่อจีนที่สร้างความวิตกกังวลให้กับประชาคมระหว่างประเทศ จากการวิเคราะห์ของสถาบันเหริ่นต้าจงหยาง ช่วงเริ่มต้นการดำรงตำแหน่งของทรัมป์ แม้จะยังไม่มี “อันตราย” ใหญ่ แต่กลับมี “ลมแรง” ที่ส่อเค้าถึงภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นในด้านนโยบายการค้า การปิดกั้นเทคโนโลยี และยุทธศาสตร์ทางทหาร

 

ในวาระแรกของการดำรงตำแหน่ง ทรัมป์ใช้มาตรการต่างๆ เช่น การเพิ่มภาษีนำเข้าและจำกัดการส่งออกเทคโนโลยี เพื่อกดดันจีนทางเศรษฐกิจ นโยบายการค้าของรัฐบาลทรัมป์มีแนวโน้มปกป้องผลประโยชน์ภายในประเทศอย่างชัดเจน และมีแผนจะเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากจีนต่อไปในวาระที่สอง ซึ่งอาจทำให้ความตึงเครียดทางเศรษฐกิจระหว่างทั้งสองประเทศทวีความรุนแรงขึ้น ตามรายงานจากสื่อการเงินชั้นนำของจีนระบุว่า ทรัมป์วางแผนที่จะเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอีกร้อยละ 10 ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป การตัดสินใจครั้งนี้สร้างความไม่พอใจให้กับกระทรวงพาณิชย์จีนอย่างมาก โดยนายเหอ หย่าตง โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีนได้แถลงคัดค้านมาตรการดังกล่าวอย่างเด็ดขาด พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐฯ เคารพกฎระเบียบขององค์การการค้าโลกและร่วมมือกันพัฒนาความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศอย่างยั่งยืน

 

ในด้านเทคโนโลยี ทรัมป์ยังคงดำเนินนโยบายปิดกั้นและคว่ำบาตรบริษัทเทคโนโลยีจีนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่กำลังเป็นสมรภูมิสำคัญระหว่างสองประเทศ อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมชิปของจีนแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและศักยภาพในการพัฒนา โดยในปี 2567 การส่งออกชิปของจีนเติบโตถึงร้อยละ 18.7 คิดเป็นมูลค่ารวม 1.14 ล้านล้านหยวน กลายเป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่ง  ของประเทศ

 

ในด้านการทหาร มีความเป็นไปได้ว่าทรัมป์จะเดินหน้านโยบาย “อินโด-แปซิฟิก” อย่างเข้มข้น เพื่อถ่วงดุลอิทธิพลของจีนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยเฉพาะในทะเลจีนใต้ที่อาจมีการเพิ่มความถี่ในการลาดตระเวนของกองทัพเรือสหรัฐฯ และเสริมสร้างความร่วมมือทางทหารกับประเทศพันธมิตรในภูมิภาค

 

ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ จีนได้เตรียมมาตรการรับมือหลายด้าน ทั้งการเร่งพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีภายในประเทศ การกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน และการผลักดันโครงการ “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในภูมิภาค แม้ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ จะเผชิญความท้าทายครั้งใหม่ภายใต้การนำของทรัมป์ แต่ด้วยขนาดเศรษฐกิจและความสำคัญของทั้งสองประเทศต่อเศรษฐกิจโลก การเจรจาและความร่วมมือยังคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะในประเด็นท้าทายระดับโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การต่อต้านการก่อการร้าย และการสาธารณสุข ที่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ

 

ข้อเสนอแนะ สคต. ณ นครเฉิงตู

จากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้ประกอบการไทยสามารถมองเห็นโอกาสทางธุรกิจที่น่าสนใจหลายประการ โดยเฉพาะการเป็นฐานการผลิตทางเลือกและการเป็นตัวกลางทางการค้า

 

ประการแรก ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตของบริษัทจีนที่ต้องการหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยเสนอตัวเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในการร่วมทุนหรือรับจ้างผลิต (OEM) สินค้าสำหรับตลาดสหรัฐฯ ประเทศไทยมีความได้เปรียบด้านที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ แรงงานมีทักษะ และความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งจีนและสหรัฐฯ

 

ประการที่สอง ในด้านเทคโนโลยี ผู้ประกอบการไทยสามารถเป็นผู้จัดจำหน่ายและให้บริการด้านเทคโนโลยีจากทั้งสองประเทศ เนื่องจากไทยไม่ได้อยู่ในข้อจำกัดด้านการค้าเทคโนโลยีของทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ ยังสามารถพัฒนาธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้อง เช่น การให้คำปรึกษาด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบการส่งออกเทคโนโลยี หรือการเป็นศูนย์ซ่อมบำรุงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับตลาดในภูมิภาค

 

ประการที่สาม ธุรกิจโลจิสติกส์และการขนส่งของไทยมีโอกาสเติบโตจากการเป็นจุดเชื่อมต่อการค้าระหว่างจีนกับอาเซียนและตลาดโลก โดยเฉพาะเส้นทางการค้าใหม่ที่จีนพัฒนาขึ้นเพื่อลดการพึ่งพาเส้นทางการค้าทางทะเลแบบดั้งเดิม ผู้ประกอบการไทยสามารถลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ คลังสินค้า และบริการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ

 

ประการที่สี่ ตลาดการท่องเที่ยวและบริการสุขภาพของไทยมีโอกาสขยายตัวจากการที่ชาวจีนอาจลดการเดินทางไปสหรัฐฯ ผู้ประกอบการสามารถพัฒนาแพคเกจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การศึกษา และไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์ตลาดจีนระดับบน รวมถึงการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์สำหรับการพำนักระยะยาว

 

ประการสุดท้าย ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้ประโยชน์จากนโยบาย “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” ของจีน โดยร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศเพื่อนบ้าน หรือพัฒนาธุรกิจที่เชื่อมโยงกับระเบียงเศรษฐกิจจีน-อาเซียน เช่น นิคมอุตสาหกรรม ศูนย์กระจายสินค้า หรือธุรกิจบริการทางการเงินระหว่างประเทศ

 

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและมีแผนบริหารความเสี่ยง เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจทั้งสองมีความไม่แน่นอนสูง และอาจส่งผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศในระยะยาว

————————————————–

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครเฉิงตู

กุมภาพันธ์ 2568

แหล่งข้อมูล :

                        https://mp.weixin.qq.com/s/zEeE96HeRKGboFJLLFtlHg

https://news.qq.com/rain/a/20241106A09FVK00

https://mp.weixin.qq.com/s/nGOv1a_bR43KGWg-nbSRYg

thThai