เนื้อหาสาระข่าว: เมื่อวันพุธที่ผ่านมา บริการไปรษณีย์สหรัฐฯ (U.S. Postal Service: USPS) ได้ยกเลิกคำสั่งระงับการรับส่งพัสดุจากจีน ซึ่งอาจซ้ำเติมความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจให้แย่ลง
หนึ่งวันหลังจากประกาศระงับบริการดังกล่าว เนื่องจากมาตรการภาษีศุลกากรที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บังคับใช้กับจีน ไปรษณีย์สหรัฐฯ ได้ออกประกาศทางออนไลน์ว่า จะ “ยังคงรับจดหมายและพัสดุระหว่างประเทศทั้งหมดที่ส่งมาจากไปรษณีย์จีนและไปรษณีย์ฮ่องกง” ไปรษณีย์สหรัฐฯ ยังระบุเพิ่มเติมว่า ขณะนี้กำลังดำเนินการ “จัดทำกลไกการจัดเก็บภาษีสินค้าจากจีนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อทำให้การส่งมอบพัสดุเกิดการรบกวนน้อยที่สุด” ทั้งนี้ ไปรษณีย์สหรัฐฯ ยืนยันว่าการระงับบริการดังกล่าวไม่ได้ครอบคลุมถึงจดหมายและสิ่งตีพิมพ์ขนาดเล็ก
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา รัฐบาลปักกิ่งประกาศจะตอบโต้มาตรการภาษีศุลกากรใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 10% ด้วยมาตรการตอบโต้ด้านภาษีของจีน โดยจีนระบุว่าจะเริ่มเรียกเก็บภาษี 15% สำหรับถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว ตั้งแต่วันจันทร์หน้า รวมถึงภาษี 10% สำหรับน้ำมันดิบ เครื่องจักรกลการเกษตร และรถยนต์ขนาดใหญ่ที่นำเข้าจากสหรัฐฯ นอกจากนี้ มาตรการการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนของประธานาธิบดีทรัมป์ ยังได้ยกเลิกการยกเว้นภาษีสำหรับพัสดุที่ระบุมูลค่าสินค้าไว้ต่ำกว่าที่กำหนดจากจีนด้วย ซึ่งมาตรการดังกล่าวเป็นที่รู้จักในชื่อ “de minimis” ที่อนุญาตให้นำเข้าสินค้ามูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยไม่ต้องเสียภาษีหรือค่าธรรมเนียมบางประเภท อย่างไรก็ตาม การใช้สิทธิ์ยกเว้นภาษีดังกล่าวได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีการนำเข้าสินค้าภายใต้ข้อยกเว้นนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ชี้ว่า การเติบโตของแพลตฟอร์มค้าปลีกออนไลน์ที่มีต้นกำเนิดจากจีน เช่น Shein และ Temu เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การนำเข้าสินค้าดังกล่าวพุ่งสูงขึ้น และการระงับบริการเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาอาจส่งผลให้พัสดุจากบริษัทเหล่านี้มีความล่าช้าในการนำเข้ามายังสหรัฐฯ เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ยังระบุอีกว่า การเพิ่มขึ้นของปริมาณพัสดุส่งผลให้ยากต่อการตรวจสอบด้านความมั่นคง จีนได้ออกมาตอบโต้การระงับบริการของไปรษณีย์สหรัฐฯ ในวันพุธ โดยระบุว่าเป็น “การกดดันที่ไร้เหตุผล”
“โดยหลักการแล้ว เราขอเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยุติการทำให้ประเด็นการค้าและเศรษฐกิจเป็นเรื่องการเมือง และเลิกใช้ประเด็นเหล่านี้เป็นเครื่องมือโจมตีจีน รวมถึงยุติการกดดันบริษัทจีนอย่างไร้เหตุผล” หลินเจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวระหว่างการแถลงข่าวเมื่อถูกถามถึงพัฒนาการในเรื่องนี้ ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ระบุว่า เขามีแผนจะพูดคุยกับประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้
บทวิเคราะห์: นับว่าไม่ได้ผิดความคาดหมาย ที่สหรัฐฯ กำลังพิจารณาเพื่อหาหนทางยุติการนำเข้าสินค้าจากจีนที่ผ่านเข้ามาทางช่องทาง “พัสดุมูลค่าต่ำกว่า 800 เหรียญสหรัฐ หรือพัสดุเล็กๆ น้อยๆ” ที่รู้จักกันในนามว่า “de minimis” ที่ทะลักเข้าสู่สหรัฐฯ ได้แบบแทบจะไม่มีเจ้าหน้าที่เข้ามาสุ่มตรวจมูลค่าสินค้าว่ามีความถูกต้องสมเหตุสมผลกับมูลค่าที่ควรจะเป็นหรือไม่อย่างไร ซึ่งทางการไปรษณีย์เองก็เห็นว่าพัสดุเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ทำให้เสียเวลามาก แต่พอมีคำสั่งรัฐบาลให้เรียกเก็บภาษีโดยไม่มีการยกเว้นแบบฟ้าผ่า แม้ว่าการไปรษณีย์สหรัฐฯ จะเก่งกาจสามารถสักเพียงใด ก็คงต้องมีความกังวลกันอยู่บ้าง ประเมินได้จากเฉพาะในปี 2024 มีการส่งพัสดุผ่านช่องทาง de minimis จากทั่วโลกมาสหรัฐฯ มีมูลค่าสูงถึง 54.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และหากนับเป็นจำนวนเที่ยวของการจัดส่งก็มีถึง 1.36 พันล้านเที่ยว ขยายตัวจากปี 2023 ถึงร้อยละ 36 ซึ่งในที่นี่ 1 เที่ยวของการส่งแบบถึงประตูบ้านโดยตรงหรือ Door-to-door นั้น ก็หมายถึงพัสดุแต่ละชิ้นนั่นเอง ซึ่งก็แปลว่าโดยเฉลี่ยในแต่ละวันมีพัสดุจำนวนถึง 3.7 ล้านชิ้นที่แต่เดิมไม่เคยต้องไปแตะต้องปล่อยผ่านเข้าสู่ระบบการจัดส่งไปได้เลย แต่วันนี้จะต้องแยกก่อนว่าชิ้นใดมาจากจีน แล้วก็จะต้องดำเนินการเรียกเก็บภาษีศุลกากร ซึ่งก็จะต้องมีขั้นตอนบางอย่างเพิ่มขึ้นกว่าแต่เดิม การไปรษณีย์สหรัฐฯ จึงต้องหยุดการส่งพัสดุจากจีนเอาไว้ก่อน แต่ไม่ได้หยุดการส่งสิ่งพิมพ์และจดหมายที่ไม่ได้มีการเรียกเก็บภาษี ซึ่งนี่ไม่ใช่มาตรการกลั่นแกล้ง Shein หรือ Temu ซึ่งตกเป็นจำเลยข้อหาว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ปริมาณสินค้านำเข้าสู่สหรัฐฯ ผ่านช่องทาง de minimis ปรับสูงขึ้นมาตลอด แต่เชื่อว่าการไปรษณีย์สหรัฐฯ เองที่จะต้องแบกรับภาระมหาศาลในการออกมาตรการ ตรวจ-ประเมิน-ปล่อย แบบฉับพลันทันใดซึ่งเป็นผลมาจากการตอบสนองต่อนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์
ข้อมูลอื่นๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับความนิยมของจีนในการใช้ช่องทาง de minimis ขายของเข้ามาในสหรัฐฯ ก็ได้แก่ ในปี 2023 สหรัฐฯ ได้รับพัสดุที่มีมูลค่าเฉลี่ยประมาณ 54 เหรียญสหรัฐต่อชิ้น ซึ่งต่ำกว่ามูลค่าขั้นต่ำ (800 เหรียญสหรัฐ) ที่จะต้องมีการเรียกเก็บภาษีศุลกากร มีจำนวน 640 ล้านเที่ยวจากจีน ซึ่งหากเทียบกับจำนวนในปี 2018 ซึ่งเคยมีประมาณ 208 ล้านชิ้นแล้ว มีการขยายตัวถึงร้อยละ 208 หรือกว่า 2 เท่าตัวทีเดียว
ในช่วงปี 2018- 2021 นั้นจีนคือผู้ที่นิยมใช้ช่องทางนี้มากที่สุด โดยในบรรดาสินค้านำเข้าผ่านช่องทาง de minimis ทั้งหมดคิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 64 แต่ในปี 2021 สัดส่วนลดลงมาเหลือร้อยละ 58 ซึ่งน่าจะเป็นเพราะความนิยมในการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ ซึ่งเป็นช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 ที่พุ่งสูงขึ้นนั่นเอง
ข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ: เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว ได้ให้ข้อมูลรายละเอียดและความเป็นมาของ de minimis ไปแล้ว ก็ถือว่าเป็นการแนะนำให้รู้จักอย่างเป็นทางการ และหวังว่าท่านที่มีฐานลูกค้าที่จะส่งสินค้าแบบส่งตรงถึงประตูบ้านได้ ก็คงมีโอกาสได้ส่งพัสดุผ่านช่องทาง de minimis มาแล้วบ้างก่อนที่เชื่อว่าในไม่ช้า การไปรษณีย์สหรัฐฯ จะต้องมีมาตรการที่ทำให้การส่งผ่านพัสดุทางช่องทางนี้มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น จึงหวังว่าผู้ประกอบการไทยจะไม่ปล่อยโอกาสดีๆ แบบนี้ให้ผ่านไปโดยไม่ได้พิจารณาหาวิธีใช้ประโยชน์จากช่องทางนี้
หวังว่าข่าวครั้งนี้ จะไม่ได้ทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ดูน่ากลัวจนเกินไป เพราะหากไม่ได้ติดตามข่าวละเอียด อาจถูกมองว่าเป็นการกลั่นแกล้งจีนเพื่อตอบโต้ หลังจีนตอบโต้กลับมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตราร้อยละ 10 ด้วยมาตรการภาษีร้อยละ 15 แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นการไปรษณีย์นั่นเองที่ต้องรับภาระหนักในการสนองนโยบายตามคำสั่งผู้บริหารของท่านประธานาธิบดีจนจำเป็นต้องชะลอการส่งสินค้าเพื่อนำเข้ากระบวนการประเมินเรียกเก็บภาษี ส่วนเรื่องการใช้มาตราการภาษีศุลกากรในการเรียกร้องสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการในกรณีอื่นๆ อาทิ โคลอมเบีย เม็กซิโกและแคนาดา นั้น ต้องยอมรับว่าเป็นมาตรการที่ได้ผลในระดับหนึ่ง ทำให้คู่ค้าของสหรัฐฯ ซึ่งในที่สุดก็ต้องยอมดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อตอบสนองข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ส่วนในกรณีของจีนนั้น คงต้องรอดูท่าทีของประธานาธิบดีทรัมป์ที่จะพูดคุยกับประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนเร็วๆ นี้ ว่าจะมีผลไปในทิศทางใด แต่ด้วยความซับซ้อนในความสัมพันธ์ในหลายมิติของมหาอำนาจทางเศรษฐกิจทั้งสองประเทศ ก็น่าจะจบการเจรจาได้ไม่ง่ายนัก
*********************************************************
ที่มา: CBS News เรื่อง: “USPS says packages from China and Hong Kong will be accepted again after temporary suspension” โดย: Breaking News สคต. ไมอามี /วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568