ผลกระทบต่อราคาสินค้าจากการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์

หากจะกล่าวว่า ปัจจุบันชาวอเมริกันส่วนใหญ่รับประทานผลไม้ที่ปลูกในเม็กซิโก ใช้โทรศัพท์ที่ผลิตในจีน และอาศัยอยู่ในบ้านที่สร้างจากไม้แคนาดาก็ไม่ผิดนัก โดยที่ผ่านมาประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าร้อยละ 10 จากประเทศจีน และจีนก็ใช้มาตรการทางภาษีตอบโต้กลับ  รวมถึง การเรียกเก็บภาษีกับแคนาดาและเม็กซิโกซึ่งแม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะระงับการเรียกเก็บภาษีไปอีก 30 วัน แต่ก็อาจจะนำมาตรการภาษีนี้มาใช้ได้อีก ซึ่งมาตรการเรียกเก็บภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์อาจส่งผลให้การค้ากับ 3 ประเทศนี้ประสบปัญหาได้ 

ภาษีศุลกากรคือภาษีที่เรียกเก็บจากสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ แม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะอ้างว่าสหรัฐฯ ได้ประโยชน์เนื่องจากประเทศอื่นจะเป็นผู้จ่ายภาษีศุลกากรที่ถือเป็นรายได้ของสหรัฐฯ  แต่ชาวอเมริกันก็ยังคงต้องเผชิญกับราคาสินค้าที่อาจแพงขึ้น จากการวิเคราะห์โดย Tax Foundation ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด พบว่าหากมีการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตามที่ประธานาธิบดีทรัมป์ขู่ไว้ในช่วงที่ผ่านมา จะส่งผลให้ภาระของภาษีนี้ตกอยู่ที่ครัวเรือนชาวอเมริกัน ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยมากกว่า 800 ดอลลาร์สหรัฐต่อครัวเรือน ในปี 2568

ผลกระทบของภาษีศุลกากรที่มีต่อราคาสินค้าที่ชาวอเมริกันต้องจ่าย

ภาษีศุลกากรที่จะบังคับใช้กับสินค้าจากจีนจะส่งผลกระทบต่อสินค้าหลายประเภท สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจากจีนเป็นจำนวนมาก และภาษีศุลกากรร้อยละ 10 ของประธานาธิบดีทรัมป์อาจส่งผลกระทบต่อสินค้านำเข้าที่มีมูลค่ากว่า 4.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ภาษีศุลกากรที่ประธานาธิบดีทรัมป์กำหนดในช่วงดำรงตำแหน่งวาระแรกนั้นกลับดูมีเป้าหมายชัดเจนกว่าครั้งนี้  ซึ่งครั้งนี้ชาวอเมริกันเหมือนจะได้รับผลกระทบจากการเรียกเก็บภาษีมากขึ้น โดยสินค้าที่น่าจะได้รับผลกระทบ ได้แก่ สินค้าอุปโภคบริโภค เช่น รองเท้า ของเล่น เครื่องเล่นวิดีโอเกม และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้ง สินค้าที่นำเข้าชิ้นส่วนจำนวนมากจากจีน อาทิ เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้ในกระบวนการผลิตของสหรัฐฯ เอง ดังนั้น ต้นทุนการผลิตในสหรัฐฯ ก็จะสูงขึ้นด้วยเช่นกัน Tax Foundation ประมาณการว่าภาษีที่เรียกเก็บจากจีนเพียงอย่างเดียวนี้จะเพิ่มภาระภาษีให้กับผู้บริโภคในสหรัฐฯ ถึง 172 ดอลลาร์สหรัฐต่อครัวเรือน   
การเรียกเก็บภาษีครั้งนี้ไม่มีข้อยกเว้น  ไม่เหมือนกับการดำรงตำแหน่งในวาระแรกของประธานาธิบดีทรัมป์ Erica York รองประธานฝ่ายนโยบายภาษีของรัฐบาลกลางแห่ง Tax Foundation กล่าวว่า iPhone, iPad แท็บเล็ต แล็ปท็อป และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ Apple ทั้งหมดจะได้รับผลกระทบ ซึ่งการเรียกเก็บภาษีครั้งนี้ถือว่าเป็นการยกระดับความรุนแรงมากขึ้น เมื่อเทียบกับสงครามการค้าครั้งแรกที่สินค้าอุปโภคบริโภคได้รับการปกป้องจากภาษีศุลกากร อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าหาก iPhone ราคา 800 ดอลลาร์สหรัฐ จะกลายเป็น 880 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 แต่เป็นการที่ผู้นำเข้าจะจ่ายภาษีของราคาต้นทุนของสินค้าเพิ่มขึ้น  ทั้งนี้  Apple อาจแก้ปัญหาด้วยการปรับเพิ่มการผลิตในประเทศอื่นๆ มากขึ้น เช่น อินเดีย หรืออาจตัดสินใจรับภาระภาษีศุลกากรไว้เอง เนื่องจากคู่แข่งอย่าง Samsung ผลิตโทรศัพท์จำนวนมากในเกาหลีใต้หรือเวียดนาม และจะคาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบทางภาษีเช่นเดียวกับ Apple และแม้ว่าคนอเมริกันจะไม่ได้เห็นราคาสินค้าที่แพงขึ้นบนป้ายราคา แต่จะพบว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ก็จะยังคงได้รับผลกระทบอยู่ดี 
Erica York รองประธานฝ่ายนโยบายภาษีของรัฐบาลกลางแห่ง Tax Foundation กล่าวว่า รายได้และผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นในในเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะลดลง เนื่องจากหากบริษัทต่างๆ ต้องรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้น นั่นหมายความว่าบริษัทเหล่านั้นจ่ายเงินให้กับพนักงานน้อยลง กล่าวคือ บริษัทจะจ้างงานน้อยลง หรือลงทุนน้อยลง ดังนั้น ไม่ว่าผลกระทบด้านราคาจะไปทางช่องทางไหน ชาวอเมริกันก็คือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีศุลกากรด้วย 
จีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลวของสหรัฐฯ ร้อยละ 15 และขึ้นภาษีนำเข้าน้ำมันดิบ อุปกรณ์ทางการเกษตร และยานพาหนะอื่นๆ บางส่วนร้อยละ 10 โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 แม้ว่ามาตรการตอบโต้เหล่านี้ไม่ได้ครอบคลุมสินค้าทุกประเภทเหมือนกับมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนของประธานาธิบดีทรัมป์ แต่มาตรการเหล่านี้ก็จะส่งผลกระทบต่อการเงินของชาวอเมริกัน
ภาษีศุลกากรอัตราใหม่ของสหรัฐฯที่จะเรียกเก็บจากสินค้าที่ผลิตในประเทศจีนอาจจะทำให้ผู้บริโภคชาวอเมริกันต้องซื้อสินค้าในราคาที่สูงขึ้นในกลุ่มสินค้าเหล่านี้ ได้แก่ เสื้อผ้าราคาถูกที่จำหน่ายบนแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ ไปจนถึงของเล่นและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ ด้วยปริมาณและจำนวนประเภทของสินค้าที่ผลิตในจีนมีความหลากหลายที่นำเข้ามาจัดจำหน่ายในสหรัฐฯ หากมีการเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อไป ราคาของสินค้าหลายรายการที่ขณะนี้มีราคาถูกอาจพุ่งสูงขึ้น ซึ่งสินค้าที่น่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุด มีดังนี้


อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ของใช้ในบ้าน และชิ้นส่วนรถยนต์

ตามข้อมูลของสำนักงานสำมะโนประชากรของสหรัฐฯ (U.S. Census Bureau) ในปี 2023 สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจากจีนมีมูลค่าประมาณ 4.27 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อาทิ โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์เสริมด้านเทคโนโลยีอื่นๆ ถือเป็นหมวดหมู่สินค้าที่มีการนำเข้ามากที่สุด
จีนเป็นประเทศที่ผลิตอุปกรณ์เทคโนโลยีรายใหญ่ ซึ่งผลิตให้กับบริษัทอเมริกันหลายบริษัท เช่น บริษัท Apple มีการประกอบสินค้าในประเทศจีน จากรายงานของสมาคมเทคโนโลยีเพื่อผู้บริโภค (Consumer Technology Association) ในปี 2023 สหรัฐฯ นำเข้าสมาร์ตโฟนจากจีนร้อยละ 78 และนำเข้าแล็ปท็อปและแท็บเล็ตจากจีนร้อยละ 79 ของการนำเข้าทั้งหมด นอกจากนี้ ภาษีศุลกากรอาจมีผลกระทบต่อทั้งสินค้าราคาถูก เช่น เสื้อผ้า รองเท้า และของใช้ในครัวแล้ว  รวมทั้ง  สินค้าราคาแพง อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ และชิ้นส่วนรถยนต์ ด้วยเช่นกัน
Jay Salaytah อายุ 43 ปี เป็นเจ้าของอู่ซ่อมรถยนต์ในเมืองดีทรอยต์กล่าวว่า เขาได้สั่งนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์บางชิ้นเร็วกว่าที่เคยวางแผนไว้ โดยคาดการณ์ว่าสินค้าเหล่านี้จะมีราคาแพงขึ้น หากประธานาธิบดีทรัมป์ทำตามคำมั่นสัญญาในการหาเสียงโดยการใช้ภาษีนำเข้าเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมภาคการผลิตในสหรัฐฯ โดยJay Salaytah กล่าวถึงเครื่องวัดแรงดันไฟฟ้าที่เขาซื้อก่อนที่ภาษีศุลกากรจะมีผลบังคับใช้ในวันอังคารที่ผ่านมาว่า
“ผมรู้ดีว่าราคาสินค้าจะแพงขึ้น เพราะสินค้าเหล่านี้ผลิตในจีน” 

เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับราคาถูก

นอกจากการกำหนดภาษีนำเข้าอัตราใหม่กับสินค้าจากจีนแล้ว คำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ยังยกเลิกข้อกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำซึ่งอนุญาตให้นำเข้าสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์สหรัฐโดยปลอดภาษีกับสินค้าจากจีนอีกด้วย อย่างไรก็ตาม คำสั่งดังกล่าวยังคงให้มีการใช้ข้อกำหนดนี้กับการนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นๆ ต่อไป ข้อกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำที่เรียกว่า “de minimis” มีมานานเกือบศตวรรษแล้ว และได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากสินค้าราคาถูกจากจีนที่เข้ามาในสหรัฐอเมริกาโดยไม่ต้องเสียภาษีมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยส่วนใหญ่สินค้าเหล่านั้นมาจากแพลตฟอร์มค้าปลีกออนไลน์ชื่อดัง เช่น Shein, Temu และ AliExpress ของบริษัท Alibaba
เพื่อปฏิบัติตามคำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์ ไปรษณีย์สหรัฐฯ ได้ประกาศเมื่อช่วงค่ำวันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 ว่าจะหยุดรับพัสดุที่ส่งมาจากจีนและฮ่องกงจนกว่าจะมีการแจ้งให้ทราบต่อไป อย่างไรก็ดี บริษัทขนส่ง USPS ได้เปลี่ยนนโยบายการขนส่งสินค้าอย่างรวดเร็ว โดยประกาศเมื่อวันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 ว่า ทางบริษัทกำลังทำงานร่วมกับหน่วยงานศุลกากรและป้องกันชายแดน เพื่อนำการจัดเก็บภาษีศุลกากรใหม่ของสินค้าจากจีนมาใช้ และป้องกันไม่ให้การขนส่งหยุดชะงัก รัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดนก็เสนอให้ยกเลิกการละเว้นภาษีสำหรับพัสดุที่มีมูลค่าต่ำที่นำเข้ามายังสหรัฐฯ ในเดือนกันยายน 2567 เช่นกัน แต่กฏนี้ไม่ได้มีผลบังคับใช้ก่อนที่ประธานาธิบดีไบเดนจะออกจากตำแหน่ง
บริษัท Shein และ Temu ซึ่งก่อตั้งในจีน และสินค้าส่วนใหญ่ส่งมาจากประเทศจีนนั้นได้รับความนิยมไปทั่วโลกด้วยการขายเสื้อผ้า เครื่องประดับ ของขวัญ และอุปกรณ์ต่างๆ ในราคาต่ำมากและมีการอัพเดตสินค้าใหม่อย่างรวดเร็วตลอดเวลา ส่งผลให้บริษัทอีคอมเมิร์ซทั้งสองสามารถแข่งขันกับบริษัทอเมริกันได้ ซึ่งบริษัท Amazon จากซีแอตเทิล กำลังพยายามแข่งขันกับบริษัทจีนเหล่านี้ผ่านการขายสินค้าออนไลน์โดยการเลียนแบบรูปแบบธุรกิจของจีน และเสนอผลิตภัณฑ์ราคาถูกที่ส่งตรงจากจีนเช่นกัน
จากรายงานที่เผยแพร่โดย Congressional Research Service ระบุว่า การส่งออกพัสดุมูลค่าต่ำของจีนพุ่งสูงถึง 6.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2566 เมื่อเทียบกับ 5,300 ล้านดอลลาร์ ในปี 2561 Temu และ Shein ครองตลาดสินค้าประเภท Fast Fashion ของเล่น และสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ ในสหรัฐฯ ประมาณร้อยละ 17 

ราคาสินค้าจะขึ้นอีกเท่าไร?

ยังคงไม่ชัดเจนว่าราคาสินค้าจะขึ้นอีกเท่าไร ภายใต้ข้อกำหนด de minimis สินค้าของ Shein, Temu และ AliExpress ที่สามารถเลี่ยงภาษีที่เรียกเก็บโดยเจ้าหน้าที่ศุลกากรได้ แต่ภายใต้มาตรการที่มีผลบังคับใช้ในวันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 การนำเข้าสินค้าของบริษัทจากจีนจะต้องเสียภาษีศุลกากรที่มีอยู่แล้วบวกกับภาษีศุลกากรใหม่อีกร้อยละ 10 ตามที่ประธานาธิบดีทรัมป์กำหนด 
Youssef Squali นักวิเคราะห์จากสถาบัน Truist Financial กล่าวว่า ส่วนใหญ่คำสั่งซื้อสินค้าเหล่านี้มีมูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลล่าร์สหรัฐ  และด้วยมาตรการภาษีใหม่  สินค้าทั้งหมดนี้จะโดนเรียกเก็บภาษี การเก็บภาษีนำเข้าจะส่งผลกระทบต่อผู้ขายสินค้าใน Amazon ซึ่งนำเข้าสินค้ามาจากจีนเช่นกัน และคาดว่าผู้ขายจะแบกรับต้นทุนส่วนหนึ่ง และส่งต่อต้นทุนที่เหลือไปยังผู้บริโภค ซึ่งอาจส่งผลให้สินค้าราคาสูงขึ้นประมาณร้อยละ 5-6  เว็บไซต์อีคอมเมิร์สรายอื่นๆ เช่น Etsy ก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน
อย่างไรก็ดี Juozas Kaziukenas ผู้ก่อตั้งบริษัทอีคอมเมิร์ซ Marketplace Pulse กล่าวว่า ราคาสินค้าในแพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง SHEIN และ Temu จะขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สินค้าที่ขายในแพลตฟอร์มเหล่านี้จะยังคงมีราคาถูก แต่การเรียกเก็บภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้การขนส่งสินค้าล่าช้าเนื่องจากพัสดุต้องผ่านด่านศุลกากรเพื่อคำนวณภาษี
บริษัท PDD Holdings เจ้าของ Temu กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า แม้ว่าสินค้าส่วนใหญ่จะส่งมาจากจีน แต่การเติบโตของบริษัทไม่ได้ขึ้นอยู่กับนโยบายปลอดภาษี De minimis โดย Temu พยายามให้ผู้ขายเก็บสินค้าไว้ในคลังสินค้าในสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจทำให้สินค้าจะไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนกฎการค้ามากนัก และในเดือนมกราคมจีนยังได้แนะนำมาตรการเพื่อช่วยให้บริษัทอีคอมเมิร์ซสร้างคลังสินค้าในต่างประเทศ โดยเสนอการลดหย่อนภาษีหรือการยกเว้นภาษีอีกด้วย

ความคิดเห็นของผู้ประกอบการค้าปลีกในสหรัฐอเมริกา

หนึ่งวันหลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน Brieane Olson ซีอีโอของ บริษัท PacSun บริษัทขายเสื้อผ้าวัยรุ่นได้เดินทางไปฮ่องกงเพื่อพบกับผู้บริหารโรงงานเพื่อหาแนวทางในการเตรียมพร้อมสำหรับแผนการเรียกเก็บภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ เสื้อผ้าของ PacSun ประมาณร้อยละ 35 ถึงร้อยละ 40 ยังคงผลิตในประเทศจีน แม้ว่าทางร้านจะเร่งขยายธุรกิจไปยังซัพพลายเออร์ในประเทศต่างๆ เช่น กัมพูชาและเวียดนามก็ตาม Brieane Olson กล่าวว่าการที่ประธานาธิบดีทรัมป์เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนร้อยละ 10 นั้นไม่รุนแรงเท่าที่บริษัทคาดการณ์ไว้ และตอนนี้ PacSun ไม่มีแผนที่จะขึ้นราคาสินค้าหรือย้ายฐานการผลิตเสื้อผ้าถัก (Knitwear) และผ้าเดนิมออกจากจีน 
ของเล่นเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคอีกประเภทหนึ่งที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าจากจีนเป็นอย่างมาก Greg Ahearn ประธานและซีอีโอของกลุ่มการค้าของ The Toy Association กล่าวว่า สำหรับบริษัทผลิตของเล่นที่นำเข้าสินค้าจากจีนจะสามารถแบกรับต้นทุนของภาษีศุลกากรใหม่ได้ในระยะสั้น แต่ท้ายที่สุดแล้ว ภาระการขึ้นราคาดังกล่าวก็จะตกอยู่กับผู้บริโภค

ผลกระทบต่อสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก กรณีหากเรียกเก็บภาษีศุลกากรจากประธานาธิบดีทรัมป์

สินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดาที่จะได้รับผลกระทบหากมีการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์ ได้แก่

อาหารสด

จากข้อมูลของกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ในปี 2564 สหรัฐฯนำเข้าผักจากเม็กซิโกเกือบสองในสามของการนำเข้าผักทั้งหมด นำเข้าผลไม้และถั่วเปลือกแข็งมาจากเม็กซิโกคิดเป็นครึ่งหนึ่งของการนำเข้าทั้งหมด เนื่องจากเม็กซิโกเป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ที่สุดของสินค้าเหล่านี้ ภาษีศุลกากรจะทำให้ราคาสินค้าเหล่านี้และสินค้าอื่นๆ อีกมากมายเพิ่มสูงขึ้น อาทิ มะเขือเทศ ราสเบอร์รี่ พริกหยวก และ สตรอว์เบอร์รี่ และ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอะโวคาโด ร้อยละ 90 ของอะโวคาโดที่บริโภคในสหรัฐอเมริกามาจากเม็กซิโก ดังนั้นผู้บริโภคน่าจะต้องจ่ายเงินเพิ่มมากขึ้น รวมทั้ง สหรัฐฯ นำเข้าผลผลิตจากเม็กซิโกมากขึ้นในช่วงฤดูหนาว อาทิ มะเขือเทศเป็นพืชผลที่สหรัฐฯ ผลิตได้มากในฤดูร้อน แต่ผลิตได้ไม่มากนักในฤดูหนาว ดังนั้น มะเขือเทศนำเข้าจากเม็กซิโกก็จะมีราคาแพงขึ้นด้วย

รถยนต์และน้ำมัน

การผลิตรถยนต์ในอเมริกาเหนือเป็นการผลิตร่วมกันระหว่างสหรัฐอเมริกา เม็กซิโก และแคนาดา ชิ้นส่วนต่างๆ จะถูกส่งไปมาระหว่างประเทศเหล่านี้ ตลอดกระบวนการผลิต ตามที่สำนักข่าว NPR ได้รายงานไว้ ภาษีศุลกากรดังกล่าวจะทำให้ต้นทุนของรถยนต์ เช่น Toyota Tacoma ซึ่งนำเข้าจากเม็กซิโก และ Chrysler Pacifica ซึ่งนำเข้าจากแคนาดา เพิ่มสูงขึ้น ราคารถยนต์ที่ประกอบในสหรัฐฯ ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน เนื่องจากชิ้นส่วนจำนวนมากนำเข้ามาจากบริษัทในแคนาดาหรือเม็กซิโก นักวิเคราะห์จากธนาคารเพื่อการลงทุน Jefferies ประมาณการว่าภาษีที่จะเรียกเก็บจากเม็กซิโก แคนาดา และจีน จะทำให้ราคาเฉลี่ยของยานยนต์ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นต่อคันประมาณร้อยละ 6 หรือ 2,700 ดอลลาร์สหรัฐ   
เนื่องจากราคาน้ำมันเป็นเรื่องที่อ่อนไหวมากสำหรับคนอเมริกัน ประธานาธิบดีทรัมป์จึงประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์พลังงานจากแคนาดาเพียงร้อยละ 10 ราคาน้ำมันยังคงทรงตัวแม้ว่ามีการประกาศอัตราภาษีในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โฆษกของบริษัทประกันรถยนต์ AAA กล่าวว่ายังเร็วเกินไปที่จะบอกว่าจะมีผลกระทบต่อราคาน้ำมันในระยะยาวหรือไม่ Scott Lincicome รองประธานฝ่ายเศรษฐศาสตร์ทั่วไปและการค้าของ Cato Institute กล่าวว่า ภาษีนำเข้าอาจจะมีผลกระทบต่อราคาน้ำมัน เนื่องจากน้ำมันในภาคตะวันตกของสหรัฐฯ ทั้งหมดนั้นนำเข้ามาจากแคนาดา โรงกลั่นน้ำมันของอเมริกาส่วนใหญ่ก็ใช้เฉพาะน้ำมันดิบที่มีความหนาแน่นสูงที่นำเข้ามาจากแคนาดาเท่านั้น และไม่ง่ายที่จะเปลี่ยนไปใช้น้ำมันดิบที่มีความหนาแน่นต่ำกว่าซึ่งผลิตในสหรัฐฯ เขาคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบของแคนาดาจะเพิ่มขึ้น 10 หรือ 20 เซ็นต์ต่อแกลลอนหากมีการเก็บภาษีน้ำมันดิบของแคนาดาที่ร้อยละ 10 

วัสดุก่อสร้าง

สหรัฐอเมริกากำลังประสบปัญหาขาดแคลนที่อยู่อาศัย และการก่อสร้างบ้านใหม่มีค่าใช้จ่ายสูง ภาษีศุลกากรสำหรับวัสดุก่อสร้างจะทำให้การสร้างบ้านมีราคาแพงขึ้นไปอีก Carl Harris ประธาน สมาคมผู้สร้างบ้านแห่งสหรัฐฯ  (The National Association of Home Builders) กล่าวในแถลงการณ์ว่า วัสดุก่อสร้างที่จำเป็น 2ชนิด ได้แก่ ไม้เนื้ออ่อนและยิปซัมนั้นนำเข้ามาจากแคนาดาและเม็กซิโกมากกว่าร้อยละ 70 โดยภาษีนำเข้าไม้และวัสดุก่อสร้างอื่นๆ จะเพิ่มต้นทุนการก่อสร้างและทำให้การพัฒนาวัสดุก่อสร้างใหม่ๆ เกิดขึ้นน้อยลง และผู้บริโภคก็ต้องจ่ายเงินภาษีในรูปแบบของราคาบ้านที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ลดการพึ่งพาไม้แปรรูปจากแคนาดาลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องมาจากไฟไหม้ การระบาดของแมลง และอัตราภาษีที่ต้องชำระในการนำเข้าไม้แปรรูป  ซึ่งการลดการพึ่งพาไม้แปรรูปจากแคนาดาที่ผ่านมานี้ลงอาจช่วยบรรเทาผลกระทบต่อราคาได้ โดยปัจจุบันมีการจัดเก็บภาษีนำเข้าไม้เนื้ออ่อนจากแคนาดาอยู่ที่ร้อยละ 14.54 อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมไม้เนื้ออ่อนของสหรัฐฯ อ้างว่าสหรัฐฯ มีศักยภาพในการจัดหาไม้แปรรูปภายในประเทศได้ถึงร้อยละ 95 ของการใช้ไม้แปรรูปในปีที่แล้ว
ถึงแม้จะยังไม่ชัดเจนว่าจะมีการเรียกเก็บภาษีศุลกากรจากสินค้าชนิดใดบ้างจากแคนาดาและเม็กซิโก แต่หากประธานาธิบดีทรัมป์ยังคงยึดมั่นในการบังคับใช้ภาษีศุลกากรที่ร้อยละ 25 ต่อไป การเรียกเก็บภาษีจะมีผลกระทบต่อชาวอเมริกันอย่างแน่อน 
ข้อมูลอ้างอิง: NPR News, AP News
thThai