Project 2025 หรือ Presidential Transition Project ถูกเขียนขึ้นในปี 2023 ก่อนหน้าที่ Donald Trump จะชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี โดยมี Heritage Foundation เป็นหัวหอกในการจัดทำและให้การสนับสนุนทางการเงิน โดยได้รับความร่วมมือจากมากกว่า 100 องค์กรในสหรัฐฯที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมสุดกู่และขวาตกขอบ กลุ่มศาสนาคริสเตียนนิยม ที่มีแนวคิดไปในทางต่อต้านการปกครองระบบเสรีประชาธิบไตย

 

สาระสำคัญใน Project 2025 ที่กำลังเป็นที่กล่าวขานกันแพร่หลายคือเรื่อง “Mandate for Leadership” ที่มีความยาวมากกว่า 900 หน้า ระบุแนวนโยบายสำหรับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่แตกต่างจากแนวทางการบริหารประเทศที่สหรัฐฯถือปฏิบัติมายาวนาน จนอาจจะถึงขั้นเป็นการเปลี่ยนระบบการทำงานและโครงสร้างของภาครัฐบาลของสหรัฐฯอย่างสิ้นเชิง

 

แม้ว่าประธานาธิบดี Donald Trump จะปฏิเสธว่า ไม่มีความตั้งใจที่จะดำเนินนโยบายบริหารประเทศตามแนวทาง Project 2025 แต่ตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2025 เป็นต้นมา 2 ใน 3 ของ 53 executive order ที่ประธานาธิบดี Trump ประกาศและแนวคิดของฝ่ายบริหารของเขาดูเหมือนว่าจะดำเนินตามแนวทางที่ระบุไว้ในพิมพ์เขียว Project 2025 ไม่ว่าจะเป็นนโยบายคนเข้าเมืองที่มุ่งเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมาย นโยบายการเงินที่เน้นตัดเงินและบริการต่างๆหลายรายการที่เป็นการช่วยเหลือประชากรสหรัฐฯที่ยากไร้ นโยบายการค้าระหว่างประเทศที่เน้นการสร้างประโยชน์สูงสุดให้แก่สหรัฐฯและมุ่งหารายได้เข้าประเทศจากการขึ้นอัตราภาษีศุลกากรและทำสงครามการค้ากับจีน และนโยบายไม่เห็นด้วยกับความเชื่อเรื่องการทำลายสิ่งแวดล้อมและแนวคิดที่เป็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เป็นต้น มีการวิเคราะห์ว่าหาก

 

รัฐบาลสหรัฐฯนำนโยบายต่างๆเหล่านี้มาใช้จะส่งผลกระทบที่เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาวะทางศรษฐกิจ การค้า ทั้งภายใน ประเทศและการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงวิถีการบริโภคและการดำเนินชีวิตคนอเมริกันจำนวนมาก

           

แนวคิดเรื่องนโยบายการค้าใน Project 2025 ที่สำคัญและมีปรากฎในนโยบาย America First ของรัฐบาลประธานาธิบดี Trump แล้ว คือ

1. แนวคิดเรื่องการแก้ไขความไม่เป็นธรรมด้านการค้าระหว่างประเทศ ที่สร้างความเสียเปรียบให้แก่สหรัฐฯ และทำให้สหรัฐฯเสียดุลการค้าต่างประเทศต่อเนื่องมาโดยตลอด นำไปสู่ความเสียหายในการเติบโตทางเศรษฐกิจ ตลาดแรงงาน และเพิ่มภาระหนี้สินต่างประเทศให้แก่สหรัฐฯ

 

ในเอกสาร Project 2025 ได้ระบุ 14 ประเทศที่สหรัฐฯเสียดุลการค้าจำนวนมากในปี 2022 โดยระบุว่า กลุ่มที่ 1 ที่สหรัฐฯเสียดุลการค้ามากที่สุดได้แก่ จีน และอินเดีย กลุ่มที่ 2 รองลงมาคือ ไทย เวียดนาม ไต้หวัน และ สหภาพยุโรป

Project 2025 ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าสหรัฐอเมริกา

ประธานาธิบดี Trump แสดงแนวคิดว่าต้องการเก็บภาษีภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่ค้าในระดับที่เท่าเทียมกับที่ประเทศนั้นๆเรียกเก็บภาษีจากสินค้าที่นำเข้าจากสหรัฐฯ และแสดงเจตจำนงที่จะเสนอให้รัฐสภาสหรัฐฯอนุมัติกฎหมาย Reciprocal Trade Act ซึ่งจะเป็นครั้งแรกที่มีการนำเสนอกฎหมายการขึ้นอัตราภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าสหรัฐฯเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา

2. แนวคิดเรื่องการนำ Section 301 มาใช้ต่อสู้กับปฏิบัติการด้านการค้าที่ไม่เป็นธรรมของคู่ค้า Section 301 เป็นส่วนหนึ่งของ กฎหมาย Trade Act of 1974 ที่ให้ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (U.S. Trade Representative) ทำการสอบสวนและตอบโต้ประเทศคู่ค้าที่สร้างข้อกีดกันทางการค้ากับสหรัฐฯอย่างไม่เป็นธรรม เช่น การขึ้นอัตราภาษีศุลกากร และทำการเจรจาต่อรองให้ประเทศคู่ค้ายกเลิกสิ่งที่สหรัฐฯมองว่าเป็นข้อกีดกันทางการค้า แนวคิดใน Project 2025 แบ่งออกเป็นสองทาง

      1) แนวทางที่ 1 สนับสนุนการใช้ Section 301 ในการต่อสู้กับปฏิบัติการที่ไม่ยุติธรรมด้านการค้า โดยเฉพาะกับจีนและประเทศคู่ค้าอื่นที่สหรัฐฯเสียดุลการค้า ท่าทีของฝ่ายบริหารรัฐบาลประธานาธิบดี Trump แสดงให้เห็นว่านิยมความคิดในแนวทางนี้

     2) แนวทางที่ 2 สนับสนุนการค้าเสรี จำกัดการใช้ Section 301 และร่วมมือกับพันธมิตรในการต่อสู้กับปฏิบัติการทางการค้าของจีน ที่เป็นไปอย่างไม่ยุติธรรม

 

3.  บังคับใช้กฎหมายการค้าอย่างเข้มงวด เน้นความจำเป็นที่ต้องมีขยายระบบ AD/CVD ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมและผู้บริโภคสหรัฐฯมากยิ่งขึ้น รวมถึง

      1) การปรากฎตัวเพื่อระบุตัวตน และ การจัดทำการวิเคราะห์ที่ทันสมัย เพื่อจับการทำ circumvention (วิธีการหลบเลี่ยงมาตรการ AD/CVD ของสหรัฐฯ โดยการส่งออกผ่านประเทศที่ 3)

     2) สร้างหลักประกันว่า ถ้าภาคอุตสาหกรรมขาดความสามารถเรียกร้องให้การดำเนินกระบวนการ AD/CVD  ฝ่ายการเมืองมีสิทธิที่จะเป็นผู้เริ่มต้นขอให้มีการดำเนินกระบวนการ AD/CVD ซึ่งฝ่ายบริหารรัฐบาลประธานาธิบดี Trump ได้ดำเนินนโยบายพิจารณาทบทวนการดำเนินมาตรการ AD/CVD แล้ว

 

ที่มา:

  1. Perkins Coie: “International Trade and National Security Policy Under Trump 2.0”, January 16, 2025
  2. BBC: “Project 2025: The right-wing wish list for Trump’s Secon term”, by Mike Wendling, February 2025
  3. Democracy Forward: “The People’s Guide to Project 2025”, June 2024

 

ข้อมูลเพิ่มเติมจาก สคต. ลอสแอนเจลิส

การบริหารประเทศตามแนวทางของ Project 2025 มีความเป็นไปได้สูงที่จะสงผลกระทบต่อสภาวะเศรษฐกิจ การค้า และวิถีการดำรงชีวิตของคนอเมริกัน เช่น

 

1. การจับและเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมายออกสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันมีรายงานข่าวว่า มีจำนวนผู้อพยพผิดกฎหมายถูกเนรเทศแล้วเป็นหลักแสนคน สร้างปัญหาการขาดแคลนแรงงานไร้ฝีมือ ที่สำคัญคือ แรงงานในภาคการ เกษตร ที่จะส่งผลกระทบต่อผลผลิตด้านการเกษตร ทำให้ผลผลิตลดลง สินค้าอาจขาดแคลน และราคาสินค้าเกษตรในตลาดสหรัฐฯจะพุ่งสูง นอกจากนี้ตลาดการบริโภคของกลุ่มชาติพันธุ์ (ethnic group) อาจหดตัวลง

 

2. นโยบายลดจำนวนข้าราชการด้วยการ buy out ให้ข้าราชการจำนวนมากและจากหลายหน่วยงานออกจากงานและการยุบหน่วยงานและกระทรวง เริ่มต้นที่หน่วยงาน USAID (United States Agency for International Development) และ กระทรวงศึกษา และแนวคิดลดเงินช่วยเหลือผู้สูงอายุและคนยากจน ผลกระทบที่จะตามมาคือ รายได้ครัวเรือนสหรัฐฯจำนวนมากจะลดลง และจะนำไปสู่การลดลงของการบริโภค

 

3. นโยบายต่อต้านแนวคิดอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ที่รวมถึงความตั้งใจที่จะเข้าไปดำเนินการลดทอนอำนาจและการทำงานของหน่วยงานต่างๆด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ที่กำลังเกิดขึ้นคือแผนการเข้าไปจัดการกับหน่วยงาน National Oceanic and Atmospheric Administration (NOAA) ซึ่งใน Project 2025 ระบุว่า “เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ออกมาสร้างความตื่นกลัว (alarm) ให้แก่ภาคอุตสาหกรรมต่างๆ” และให้คำแนะนำว่า “ควรจะมีการยุบปฏิบัติการหลายๆอย่าง” การดำเนินการใดๆกับหน่วยงาน NOAA มีศักยภาพสูงที่อาจจะส่งผลกระทบต่อกฎระเบียบต่างๆที่ NOAA ออกมาควบคุมอุตสาหกรรมประมงและสินค้าประมงทั่วโลกที่ต้องการนำเข้าสหรัฐฯ แนวคิดต่อต้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของรัฐบาลประธานาธิบดี Trump รวมถึงเรื่องเล็กน้อยเช่น การออกคำสั่งให้ยกเลิกนโยบายที่มีอยู่ในเรื่องการห้ามใช้หลอดพลาสติก (plastic straw) และให้นำสินค้าพลาสติกเหล่านี้กลับมาใช้อีก เป็นต้น

 

4. นโยบายการขึ้นพิกัดอัตราภาษีศุลกากรสินค้านำเข้า ที่กำลังได้รับการตอบโต้จากหลายประเทศคู่ค้า มีศักยภาพสูงที่จะทำให้ราคาสินค้านำเข้าในตลาดสหรัฐฯพุ่งสูงขึ้นหรืออาจจะเกิดการขาดแคลน เช่นกรณีคำสั่งล่าสุดให้ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กและอลูมินั่ม ทำให้คาดการณ์ว่าจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อธุรกิจและผู้บริโภคสินค้าจากอุตสาหกรรมรถยนต์ การก่อสร้าง สินค้าอาหารและเครื่องดื่มบรรจุกระป๋อง และ ตลาดอสังหาริมทรัพย์

 

สำนักงานลอสแอนเจลิสมีความเห็นว่า สถานการณ์ภายในประเทศสหรัฐฯปัจจุบันกำลังอยู่ในสภาวะสับสนและไม่แน่นอน การเปลี่ยนแปลงคำสั่งต่างๆเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ที่อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค  การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบต่างๆด้านการค้า และ การเกิดขึ้นและลดลงของโอกาสในการค้าในตลาดสหรัฐฯ จำเป็นที่ผู้ประกอบการจะต้องเฝ้าติดตามและประเมินสถานการณ์ในตลาดสหรัฐฯอย่างใกล้ชิด

 

หมายเหตุ: ข่าวข้างบนนี้เป็นข้อมูลที่ได้มาจากแหล่งข้อมูลหลายแห่งที่จัดทำและนำเสนอข้อมูลเปิดเผยต่อสาธารณชนทั่วไป และบางส่วนเป็นความเห็นส่วนบุคคล สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอสแอนเจลิส นำมารวบรวมเผยแพร่เพื่อแก่ผู้สนใจ เนื่องจากเป็นข้อมูลและความเห็นจากบุคคลที่สาม การนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ ไม่ว่าในกรณีใดๆ ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณเฉพาะบุคคล สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอสแอนเจลิส ไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดๆที่อาจเกิดขึ้นจากการนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้                                                                                                                                                                              

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ นครลอสแอนเจลิส

thThai