สิงคโปร์ศึกษาการใช้พลังงานนิวเคลียร์ เพื่อเป็นแหล่งพลังงานอนาคต

เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 ระหว่างการประกาศแผนงบประมาณรายจ่ายปี 2568 นายลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์กล่าวว่า รัฐบาลจะศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในประเทศและจะดำเนินการเพิ่มเติมอย่างเป็นระบบเพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านพลังงานของสิงคโปร์ ทั้งนี้ สิงคโปร์ได้ลงนามข้อตกลงกับสหรัฐฯ ว่าด้วยความร่วมมือด้านนิวเคลียร์เพื่อพลเรือน และกำลังดำเนินการเจราจาข้อตกลงลักษณะเดียวกันกับประเทศอื่นๆ ที่มีศักยภาพและประสบการณ์ในด้านพลังงานนิวเคลียร์เพื่อพลเรือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องปฏิกรณ์โมดูลาร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactors :SMRs)

นายกฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ความสนใจในพลังงานนิวเคลียร์กำลังเพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยมีหลายประเทศ[1]ในภูมิภาคนี้วางแผนบูรณาการพลังงานนิวเคลียร์เข้ากับแหล่งพลังงานปัจจุบัน ดังนั้น สิงคโปร์จำเป็นต้องพัฒนาขีดความสามารถใหม่เพื่อประเมินทางเลือกด้านพลังงาน และพิจารณาว่าเทคโนโลยีนิวเคลียร์จะช่วยสิงคโปร์แก้ปัญหาและสามารถนำไปใช้ได้อย่างปลอดภัยและคุ้มต้นทุนหรือไม่ โดยขีดความสามารถดังกล่าวยังมีความสำคัญต่อมาตรการความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ ซึ่งจะยิ่งมีบทบาทสำคัญมากขึ้น เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มที่ภูมิภาคให้ความสนใจในพลังงานนิวเคลียร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

รัฐบาลสิงคโปร์ได้จัดสรรเงินทุนเพิ่มอีก 5,000 ล้านเหรียญสิงคโปร์ให้กับกองทุนพลังงานอนาคต[2]ที่มีอยู่เพื่อสนับสนุนความพยายามในการรักษาพลังงานสะอาด ไม่ว่าจะเป็นการนำเข้าพลังงานไฟฟ้า ไฮโดรเจน หรือพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งนายกฯ ระบุว่า รัฐบาลฯ จำเป็นต้อง”ลงทุนครั้งใหญ่” ในโครงสร้างพื้นฐานใหม่เพื่อรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น ปัญญาประดิษฐ์
เซมิคอนดักเตอร์ ชีวเภสัชภัณฑ์ อุตสาหกรรมเหล่านี้ล้วนมีความต้องการพลังงานสูง ดังนั้น การเพิ่มแหล่งพลังงานสะอาดไม่เพียงช่วยตอบสนองความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น แต่ยังช่วยลดการปล่อยคาร์บอน ไปพร้อมกันการขยายการเข้าถึงพลังงานสะอาดจึงถือเป็นความจำเป็นระดับชาติ

สิงคโปร์ยังไม่ได้ตัดสินใจใช้พลังงานนิวเคลียร์ แต่เนื่องจากข้อจำกัดในการเข้าถึงพลังงานหมุนเวียน พลังงานนิวเคลียร์จึงเป็นหนึ่งในแหล่งพลังงานคาร์บอนต่ำต่างๆ ที่รัฐบาลกำลังพิจารณาอยู่ โดยมีปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงอย่างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ราคาที่เอื้อมถึง และปริมาณการปล่อยคาร์บอน ทางเลือกด้านพลังงานของสิงคโปร์มีข้อจำกัด เนื่องจากประเทศไม่มีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติหรือพื้นที่เพียงพอสำหรับพลังงานน้ำ พลังงานลม หรือพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานในประเทศ

ปัจจุบัน สิงคโปร์พึ่งพาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงจากฟอสซิล คิดเป็นประมาณ 95% ของความต้องการพลังงานทั้งหมด โดยภาคส่วนพลังงานมีส่วนรับผิดชอบต่อการปล่อยมลพิษประมาณ 40% ของการปล่อยมลพิษทั้งหมดของประเทศ เพื่อจะบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศระยะยาวในการปล่อยมลพิษสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 สิงคโปร์จำเป็นต้องลดการปล่อยคาร์บอนจากภาคส่วนนี้ โดยเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 รัฐบาลสิงคโปร์ได้ประกาศเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศสำหรับปี 2578 โดยตั้งเป้าลดการปล่อยมลพิษลงเหลือระหว่างเหลือ 45 – 50 ล้านตัน จากระดับที่คาดว่าจะอยู่ที่ 60 ล้านตันในปี 2573

รัฐบาลฯ ได้พิจารณาความเป็นไปได้ในการใช้พลังงานนิวเคลียร์ตั้งแต่ปี 2553 แต่ประเมินว่าเทคโนโลยีนิวเคลียร์แบบเดิมไม่เหมาะสมกับประเทศ อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนิวเคลียร์ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเครื่องปฏิกรณ์แบบแยกส่วนขนาดเล็ก ซึ่งเป็นเทคโนโลยีนิวเคลียร์ขั้นสูงที่มีคุณลักษณะด้านความปลอดภัยที่ดีกว่าเครื่องปฏิกรณ์ขนาดใหญ่แบบดั้งเดิม ทั้งนี้ เครื่องปฏิกรณ์แบบแยกส่วนขนาดเล็ก มีข้อได้เปรียบอย่างขนาดที่มีความกะทัดรัดสามารถประกอบและติดตั้งในโรงงานในเขตเมืองที่มีความหนาแน่นสูงได้ และกำลังการผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณหนึ่งในสามของเครื่องปฏิกรณ์แบบเดิม

การสำรวจพลังงานนิวเคลียร์ของสิงคโปร์กำลังได้รับความสนใจมากขึ้น โดยในปี 2565 มีรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์พลังงานในอนาคตระบุว่า เทคโนโลยีพลังงานใหม่ ๆ เช่นนิวเคลียร์และพลังงานความร้อนใต้พิภพ อาจสามารถตอบสนองความต้องการพลังงานของสิงคโปร์ได้ประมาณ10% ภายในปี 2593 และในเดือนกรกฎาคม 2567 สิงคโปร์ได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือด้านนิวเคลียร์ฉบับที่ 123 กับสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะช่วยให้สิงคโปร์สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีนิวเคลียร์และการศึกษาการวิจัยทางวิทยาศาสตร์จากองค์กรด้านพลังงานของอเมริกา

นอกจากนี้ รัฐบาลฯ ได้ดำเนินมาตรการระยะสั้นเพื่อให้โครงสร้างพลังงานของประเทศเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นผ่านการนำการนำเข้าไฟฟ้าคาร์บอนต่ำจากประเทศในภูมิภาค สิงคโปร์ได้ลงนามข้อตกลงกับอินโดนีเซีย กัมพูชา และเวียดนาม เพื่อนำเข้าไฟฟ้าคาร์บอนต่ำ 5.6 กิกะวัตต์ภายในปี 2578 และคาดว่าไฟฟ้าสีเขียวส่วนใหญ่จะมาจากพลังงานแสงอาทิตย์ น้ำ และลม ภายใต้โครงการนำร่องที่ขยายเพิ่มขึ้นในปี 2567 สิงคโปร์กำลังนำเข้าไฟฟ้าพลังงานน้ำจากลาวผ่านไทยและมาเลเซีย ในช่วงปลายปี 2567 มีรายงานว่าอุปทานพลังงานเพิ่มเติมมาจากมาเลเซีย ทำให้การนำเข้าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก100 เมกะวัตต์ เป็น 200 เมกะวัตต์ ปัจจุบัน ระบบไฟฟ้าของมาเลเซียยังคงพึ่งพาถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ แต่ภายในปี 2578 สิงคโปร์จะสามารถตอบสนองความต้องการไฟฟ้าประมาณหนึ่งในสามผ่านการนำเข้า ในขณะเดียวกัน รัฐบาลฯ ได้ประเมินศักยภาพของไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงทางเลือกที่ไม่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกที่เมื่อถูกเผาไหม้ อย่างไรก็ตาม ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำยังคงมีข้อจำกัดในด้านความท้าทายในการผลิต การจัดเก็บ และการขนส่ง ซึ่งทำให้การขยายขนาดเพื่อการค้าเป็นไปได้ยาก

ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ

รัฐบาลสิงคโปร์มีวิสัยทัศน์เชิงรุกในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและแก้ไขข้อจำกัดด้านทรัพยากรของประเทศ โดยให้ความสำคัญกับการศึกษาและพัฒนาด้านพลังงานนิวเคลียร์และความปลอดภัยทางนิวเคลียร์อย่างจริงจัง การลงทุนในโครงการดังกล่าวไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างศักยภาพด้านพลังงานให้กับประเทศ แต่ยังเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตในระยะยาว

ประเทศไทยมีศักยภาพในการพัฒนาพลังงานสะอาดจากแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่มากมาย ซึ่งสามารถช่วยลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิลได้อย่างมาก และส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ไทยยังสามารถมีบทบาทสำคัญในตลาดพลังงานไฟฟ้าภูมิภาคได้ โดยเฉพาะการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าเพื่อการส่งออกไปยังสิงคโปร์ ซึ่งหากไทยมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเพิ่มการลงทุนในเทคโนโลยีสะอาด ไทยก็สามารถเป็นผู้นำในตลาดพลังงานไฟฟ้าภูมิภาคได้

[1] มาเลเซียและอินโดนีเซียได้ดำเนินการวิจัยเครื่องปฏิกรณ์วิจัยมาระยะหนึ่งแล้ว

[2] กองทุนพลังงานอนาคต (Future Energy Fund) เกิดขึ้นภายใต้แผนงบประมาณรายจ่ายปี 2567 โดยกองทุนนี้จัดตั้งขึ้นเพื่อเร่งการลงทุนในเทคโนโลยีพลังงานสะอาดและเป็นส่วนหนึ่งในความพยายามของรัฐบาลสิงคโปร์เพื่อแก้ไขปัญหาข้อจำกัดด้านทรัพยากร

แหล่งที่มาข้อมูล/ภาพ : https://www.straitstimes.com/singapore/budget-2025-spore-will-study-the-potential-deployment-of-nuclear-power
S’pore to explore nuclear power as future energy source: PM Wonghttps://www.channelnewsasia.com/singapore/singapore-nuclear-power-budget-2025-4944536

 

thThai