ช้าแต่แรง…VW เตรียมส่งรถราคาประหยัดออกสู่ตลาดแล้วจ้า

เรียกได้ว่า ตอนนี้อุตสาหกรรมยานยนต์ของเยอรมนีกำลังก้าวเข้าสู่การต่อสู้อีกครั้ง โดยเป็นการต่อสู้กันในธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า (EV) แบบ Mass Production ซึ่งเมื่อวันพุธที่ผ่านมา นาย Thomas Schäfer ประธานบริหารรถยนต์ยี่ห้อ Volkswagen ได้เสนอแบบร่างรถรุ่นใหม่ ราคาประมาณ 20,000 ยูโร ในการประชุมของบริษัทฯ ที่เมือง Wolfsburg โดยเรียกรถยนต์โมเดลดังกล่าว ว่า “ID.1” ซึ่งเป็นรถ EV ขนาดเล็กรูปทรง Hatchback (คือ รถยนต์ที่มีพื้นฐานจากรถซีดานทั่วไปหรือที่เรียกกันติดปากว่ารถเก๋ง) และกำหนดเข้าสู่ตลาดในปี 2027 โดยจะเป็นรถ EV ราคาถูกที่สุดในกลุ่มรถ EV ของ Volkswagen ซึ่งรถรุ่นนี้จะใช้แพลตฟอร์มผลิตรถ EV รุ่น MEB (เยอรมัน: Modularer E-Antriebs Baukasten, อังกฤษ: ‘Modular Electric-Drive Toolkit’) ของ Volkswagen นาย Frank Schwope ผู้เชี่ยวชาญของอุตสาหกรรมยานยนต์จากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์ประยุกต์สำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Fachhochschule des Mittelstands) ในเมือง Hannover กล่าวว่า “Volkswagen เป็นที่รู้จักมายาวนาน ว่า ชอบเร่งพัฒนาโครงการต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว แม้ว่าอาจจะช้ากว่าชาวบ้านเขาอยู่บ้าง แต่ก็ยังแรง” นาย Schwope เชื่อว่า รถ ID.1 จะสามารถแข่งขันกับรถ EV ราคาถูกจากจีนได้ นอกจากนี้  VW ยังมั่นใจในระดับหนึ่งโดยเฉพาะมั่นใจธุรกิจในทวีปยุโรป ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ VW ว่า จะสามารถแข่งขันได้ นาย Stefan Bratzel ผู้อำนวยการศูนย์การจัดการยานยนต์ (CAM – Center of Automotive Management) ใกล้เมืองโคโลญ ของเยอรมนีให้ความเห็นว่า “อนาคตของ VW และอุตสาหกรรมยานยนต์ยุโรป ID.1 คือ โมเดลที่มีความจำเป็นสำหรับการอยู่รอดของผู้ผลิตฯ อย่างมาก”

 

นอกจากนี้ โมเดลรถรุ่นดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะเป็นตัวช่วยในการขัดเกลาภาพลักษณ์ของยี่ห้อรถยนต์ Volkswagen ในฐานะผู้ผลิตแบบ Mass Production อีกด้วย นาย Daniela Cavallo ประธานสหภาพแรงงานของ Volkswagen เน้นย้ำว่า รถยนต์ระดับเริ่มต้นรุ่นใหม่นี้ จะทำให้ชื่อ “ยี่ห้อ Volkswagen (รถมวลชน) กลับมามีคุณค่าและเหมาะสมกับความหมายของชื่อที่แท้จริงอีกครั้ง” ในขณะเดียวกัน นาย Bratzel ผู้เชี่ยวชาญของ CAM กล่าวว่า รถโมเดลรุ่นราคาไม่สูงนี้ น่าจะช่วยให้การใช้รถ EV ในยุโรปแพร่หลายมากขึ้น ไม่นานมานี้ส่วนแบ่งการตลาดรถ EV ในทวีปอเมริกาลดลงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ซึ่งนาย Bratzel กล่าวถึงรถรุ่นราคาประหยัดของ VW ที่วางแผนจะนำออกสู่ตลาดนี้ว่า “ในภูมิภาคอเมริกายังไม่มีโมเดลรถรุ่นดังกล่าวในกลุ่มสินค้าหมวดยานยนต์ แนวโน้มการซื้อรถ EV ในปัจจุบัน ได้เดินไปในทิศทางเดียวกันและแสดงให้เห็นเทรนด์อย่างชัดเจน โดยเทรนด์หลัก คือ รถจะใหญ่ขึ้น หนักขึ้น และแพงขึ้น ตามที่ CAM รายงานในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยในปี 2024 ราคารถ EV ในเยอรมนีโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 4,000 ยูโร หรืออยู่ที่ 56,669 ยูโร เหตุผลของการพัฒนาด้านราคาก็คือ เมื่อเร็ว ๆ นี้รถ SUV ขนาดใหญ่เป็นผู้ครองตลาดรถ EV อย่างชัดเจน และผู้ผลิตเองก็ได้ตัดรถ EV ขนาดเล็กออกจากรุ่นรถที่ตนผลิตออกก่อน รถ ID.1 อาจจะกลายมาเป็นผู้พลิกกลับเทรนด์ดังกล่าวก็ได้ นอกจากนี้ สำหรับผู้ผลิตเองรถรุ่นเริ่มต้นราคาประหยัดนี้ ก็ยังมีความสำคัญเช่นกันเพื่อให้ผู้ผลิตยานพาหนะตอบสนองข้อจำกัดด้านการจำกัดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ของผู้ผลิตยานพาหนะใน EU ต่อปี” (เยอรมัน: Flottengrenzwert, อังกฤษ: CO2 emission performance standards for cars and vans) ด้านนาย Luca De Meo ประธานบริษัท Renault ได้ออกมาชี้แจงเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า เขาต้องการเป็นผู้ผลิตรถ EV รายแรกในยุโรป ที่สามารถผลิตรถ EV ราคาต่ำกว่า 20,000 ยูโร ซึ่งการกระทำของนาย De Meo ถือเป็นการเหน็บแนมบริษัท Volkswagen โดยก่อนหน้านี้ทั้ง VW และ Renault พิจารณาที่จะร่วมมือกันผลิตรถ EV ขนาดเล็ก ตามที่ Handelsblatt รายงานเมื่อปลายปี 2023 แต่แผนความร่วมมือดังกล่าวได้ล้มเหลวลงไป มีการกล่าวกันว่า เป็นเพราะการต่อต้านจากสหภาพแรงงานของ VW ที่เรียกได้ว่า เป็นผู้มีอำนาจในองค์กรอย่างหนัก แวดวงในของบริษัทระบุว่า ขณะนี้มีการวางแผนเตรียมส่ง E-Twingo ของ Renault ออกมาจำหน่ายในตลาด ในปี 2026 ซึ่งจะเป็นการเริ่มจำหน่ายรถรุ่นเริ่มต้นราคาถูกก่อนที่ Volkswagen จะเริ่มจำหน่าย อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัท Leapmotor ผู้ผลิตรถ EV สัญชาติจีน เองก็ได้เริ่มขายรถรุ่น TO3 ในเยอรมนีด้วยราคาเริ่มต้นต่ำกว่า 19,000 ยูโร รถยนต์รุ่นดังกล่าวประกอบในโรงงานบริษัท Stellantis ในโปแลนด์ โดยผู้ผลิตทั้ง 2 รายร่วมมือกันผ่านการร่วมทุน นอกจากนี้ ยังมีรถยี่ห้อ MG3 แบบไฮบริด ซึ่งผลิตโดยบริษัท SAIC ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลจีนก็มีราคาต่ำกว่า 20,000 ยูโร สำหรับรุ่นพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม รถรุ่นดังกล่าวไม่ใช่รถ EV แบบเต็มรูปแบบ ในเวลานี้รถ EV ที่มีราคาถูกที่สุดในเยอรมนีขณะนี้ คือ รถ Dacia รุ่น Spring โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 17,000 ยูโร อย่างไรก็ตาม รถยนต์รุ่นนี้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทในเครือ Renault ก็ไม่ได้ผลิตในโรมาเนีย ซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดของ Dacia แต่ผลิตที่เมืองอู่ฮั่น ของจีน

 

ตามที่ผู้เชี่ยวชาญ Bratzel กล่าวไว้ ปัจจัยสำคัญสำหรับ VW ก็คือ VW ต้องมีรถโมเดลราคาระดับเริ่มต้นใหม่จึงจะสามารถเอาชนะคู่แข่งได้ โดยกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพสำหรับรถยนต์โมเดลนี้ นอกจากจะเป็นกลุ่มลูกค้าส่วนบุคคลแล้ว ยังมีลูกค้าเอกชนที่ใช้รถเพื่อจัดส่งสินค้าหรือกลุ่มบริษัทดูแลผู้สูงอายุนอกสถานที่ด้วย โดยนาย Bratzel กล่าวว่า เอกชนจะมาเป็นลูกค้า หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับ “การคำนวณค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโดยรวม (Operating Costs) ของบริษัท จะต้องสมเหตุสมผล” นอกจากนี้ สำหรับบริษัท VW ในฐานะผู้ผลิตยานยนต์ต้องหาสูตรลดต้นทุนอย่างหนัก โดยคำถามที่สำคัญอยู่ที่ VW จะสามารถทำเงินจากรถ EV ขนาดเล็กได้อย่างไร ปัญหาหลัก ก็คือ รถยนต์ขนาดเล็กมีอัตรากำไรต่ำกว่ารถยนต์โมเดล SUV ขนาดใหญ่ นอกจากนี้โดยเฉลี่ยแล้วรถ EV สร้างกำไรต่อคันน้อยกว่ารถยนต์ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาป ปัจจัยต้นทุนที่สำคัญที่สุดในการผลิตรถ EV ก็คือ แบตเตอรี่ ซึ่งอาจคิดเป็น 40% ของต้นทุนรถ EV หนึ่งคันเลยทีเดียว นาย Schwope ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมยานยนต์ให้ความเห็นว่า “เมื่อพิจารณาจากภูมิหลังแล้ว ก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่ VW เพิ่งจะเข้าสู่ตลาดรถ EV ขนาดเล็ก” แต่สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ของ VW แย่ลงไปอีกก็คือ VW มีความจำเป็นอย่างหนักที่ต้องเร่งแก้ไขปัญหาโครงสร้างต้นทุนอย่างเร่งด่วน และล่าสุดก็พึ่งได้เปิดตัวโครงการประหยัดมูลค่าหลายพันล้านยูโรให้ทราบ ปัจจุบันอัตรากำไรของรถยนต์ แบรนด์หลักของบริษัทอยู่ที่ 2% โดยเฉลี่ยเท่านั้น ซึ่งต่างจากเป้าหมายระยะกลางที่อยู่ที่ 6.5% มาก แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ ในการที่จะนำเสนอรถยนต์ระดับเริ่มต้นในราคาไม่เกิน 20,000 ยูโร มีเพียงการผลิตนอกเยอรมนีเท่านั้นจึงจะคุ้มทุน (Operate Economically) ได้ โดย VW เน้นย้ำว่า ต้องการสร้างรถโมเดลที่เรียกว่า “ผลิตในยุโรป…เพื่อยุโรป” ขึ้น ตามแหล่งข้อมูลของบริษัท VW เป็นไปได้ที่จะใช้โรงงานของบริษัทในยุโรปตะวันออกมาผลิตรถรุ่นดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีรายงานว่า เป็นไปได้ที่โรงงาน VW ในเมือง Palmela ของโปรตุเกส ซึ่งเป็นโอกาสดีที่อาจจะได้กลายเป็นศูนย์การผลิตรถรุ่นสำคัญนี้ โดยโฆษกของยี่ห้อ VW ได้ออกมาปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อมูลดังกล่าว ในช่วงต้นเดือนมีนาคม ทีมงานของนาย Schäfer หัวหน้าแบรนด์รถยนต์ VW วางแผนที่จะเปิดตัว รถ EV “รถโชว์” ราคา 20,000 ยูโร ให้แก่สาธารณชน โดยปกติแล้วในการเปิดตัวรถสาธิตเหล่านี้ มักจะมีการนำเสนอเฉพาะรูปทรง และการออกแบบภายนอกที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน แต่การออกแบบภายในมักจะไม่ได้รับการพัฒนา และยังไม่ถูกนำมาร่วมนำเสนอในส่วนรายละเอียดเพิ่มเติมยกตัวอย่างเช่น (1) ส่วนผสมทางเคมีของแบตเตอรี่  (2) ประสิทธิภาพ และ (3) สถานที่ผลิตของรถดังกล่าว เหล่านี้อาจกลายเป็นเรื่องที่จะเปิดเผยในภายหลัง โดยองค์ประกอบหลักทั้ง 3 อย่าง ที่มีความสำคัญมาก เนื่องจากปัจจุบัน Volkswagen ยังคงไม่มีรถ EV ราคาประหยัดในรายการสินค้าของบริษัทฯ ราคาขายปลีกของรถ EV ขนาดเล็ก ID.3 ที่ถูกที่สุดในปัจจุบันอยู่ที่ 33,000 ยูโร และหากมีส่วนลดผู้บริโภคสามารถซื้อรถยนต์รุ่นพื้นฐานนี้ได้ในราคาต่ำกว่า 30,000 ยูโร โดยตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป VW วางแผนที่จะส่งรถรุ่น ID.2 ที่มีราคาเข้าใกล้เกณฑ์ 25,000 ยูโร เป็นครั้งแรกด้วย หนึ่งปีต่อมา VW ก็จะส่งรถยนต์ราคา 20,000 ยูโร ออกสู่ตลาดตามออกมา นอกจากการประกาศเปิดตัวรถ EV รุ่นเริ่มต้นแล้ว นาย Schäfer ยังได้จัดทำแผนสำหรับอนาคตของโรงงานในเมือง Wolfsburg ซึ่งมีความสำคัญต่อแบรนด์ VW ในการประชุมของบริษัทฯ อีกด้วย โดยโรงงานในเมือง Wolfsburg นอกจากจะใช้รถ EV ต่อยอดโมเดล Golf แล้ว ยังมีการวางแผนที่จะใช้เป็นศูนย์การผลิตผลิตรถ EV รุ่นต่อยอดของ T-Roc ซึ่งเป็นรถที่ขายดีที่สุดที่โรงงานในเมือง Wolfsburg อีกด้วย โดยวางแผนที่จะใช้แพลตฟอร์มสำหรับผลิตรถ EV รุ่นใหม่ SSP (Scalable Systems Platform) ในโรงงานหลักแห่งนี้ ซึ่งนาย Schäfer ก็ได้ประกาศเรื่องดังกล่าวอย่างเป็นทางการอีกครั้งว่า “ด้วยการดำเนินการเช่นนี้ เราจะทำให้ Wolfsburg กลายเป็นเมืองหลวง สำหรับผลิตรถยนต์นั่งขนาดเล็ก (Compact Class Car) ไฟฟ้าล้วนรุ่นใหม่ของเรา”

 

จาก Handelsblatt 10 มีนาคม 2568

thThai