ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในสหรัฐอเมริกา

ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในสหรัฐอเมริกาคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 64.17 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2033 จาก 44.66 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2024 ทั้งนี้ การขยายตัวนี้ได้รับแรงหนุนจากอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่แข็งแกร่งที่ร้อยละ 4.11 ในช่วงระหว่างปี 2025 ถึง 2033 ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญที่สนับสนุนการเติบโตของตลาด ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้เลี้ยงสัตว์เลี้ยง ความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงระดับพรีเมียมและออร์แกนิก ตลอดจนความสนใจที่เพิ่มขึ้นในด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของสัตว์เลี้ยง
ในสหรัฐอเมริกา อาหารสัตว์เลี้ยงเป็นตลาดที่มีความเคลื่อนไหวสูง โดยได้รับแรงสนับสนุนจากจำนวนครัวเรือนที่เลี้ยงสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เจ้าของสัตว์เลี้ยงในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายเงินมากขึ้นกับผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงคุณภาพสูงและอาหารเฉพาะทางที่ตอบสนองต่อความต้องการด้านสุขภาพของสัตว์เลี้ยง เช่น การควบคุมน้ำหนัก การแพ้อาหาร นอกจากนี้ แนวโน้ม “Pet Humanization” หรือการที่เจ้าของมองว่าสัตว์เลี้ยงเป็นสมาชิกในครอบครัว ก็มีส่วนช่วยในการกระตุ้นความต้องการผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงคุณภาพสูง อาหารกูร์เมต์ และอาหารเฉพาะทาง ส่งผลให้ตลาดโดยรวมเติบโตอย่างต่อเนื่อง
สัตว์เลี้ยงเป็นเสมือนสมาชิกในครอบครัว (Pet Humanization) แนวโน้มการทำให้สัตว์เลี้ยงเป็นเสมือนสมาชิกในครอบครัวกำลังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในสหรัฐอเมริกา เจ้าของสัตว์เลี้ยงให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงไม่ต่างจากคนในครอบครัว ส่งผลให้เกิดความต้องการที่สูงขึ้นต่อแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงที่มีคุณภาพสูงและเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เป็นออร์แกนิก ปราศจากธัญพืช หรือสูตรเฉพาะที่พัฒนาขึ้นตามความต้องการด้านสุขภาพของสัตว์เลี้ยง ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวยังช่วยส่งเสริมการเติบโตของกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเฉพาะทางและกูร์เมต์ เนื่องจากเจ้าของสัตว์เลี้ยงยินดีที่จะใช้จ่ายมากขึ้นเพื่อดูแลสุขภาพและยืดอายุขัยของสัตว์เลี้ยงของตน
เมื่อปี 2024 มีครัวเรือนในสหรัฐอเมริกาถึง 66% หรือประมาณ 86.9 ล้านครัวเรือนที่เลี้ยงสัตว์ โดยแบ่งเป็น 65.1 ล้านครัวเรือนที่เลี้ยงสุนัข 46.5 ล้านครัวเรือนที่เลี้ยงแมว และส่วนอื่น ๆ เลี้ยงปลา สัตว์ขนาดเล็ก และนก รายได้ที่สามารถใช้จ่ายได้ในระดับสูงยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ผลักดันการเติบโตของตลาด โดยจากรายงานของสมาคมผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยงแห่งอเมริกา (American Pet Products Association – APPA) พบว่ามีการใช้จ่ายเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงในปี 2022 สูงถึง 123.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงการใช้จ่ายเพื่ออาหารและขนมสัตว์เลี้ยงมูลค่า 58.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ การใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในด้านอาหารและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยงยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโตของตลาดอย่างต่อเนื่อง
การให้ความสำคัญกับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของสัตว์เลี้ยง เจ้าของสัตว์เลี้ยงในสหรัฐอเมริกามีความใส่ใจในสุขภาพของสัตว์เลี้ยงมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของโภชนาการและคุณค่าทางอาหารของผลิตภัณฑ์ที่เลือกให้สัตว์เลี้ยงบริโภค ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงเชิงฟังก์ชันและโภชนาการเฉพาะทาง ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ด้านสุขภาพเฉพาะ เช่น การควบคุมน้ำหนัก การดูแลข้อต่อ หรือการแพ้อาหาร กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของอัตราการเกิดโรคอ้วนและโรคเรื้อรังในสัตว์เลี้ยงยังเป็นแรงผลักดันให้เกิดความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงสูตรเฉพาะที่มีการแนะนำหรือสั่งจ่ายโดยสัตวแพทย์ ซึ่งช่วยส่งเสริมการเติบโตของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงเฉพาะทาง
ในเดือนเมษายน 2024 บริษัท Cymbiotika ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงชุดใหม่ ได้แก่ Probiotic+ Calm Hip & Joint และ Allergy & Immune Health โดยผลิตภัณฑ์แต่ละรายการถูกพัฒนาขึ้นโดยใช้ส่วนผสมคุณภาพสูง เพื่อส่งเสริมสุขภาพที่ดีที่สุดของสัตว์เลี้ยง ตามคำกล่าวของประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท
การเติบโตของอีคอมเมิร์ซและแพลตฟอร์มออนไลน์ การเติบโตอย่างรวดเร็วของอีคอมเมิร์ซได้เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในสหรัฐอเมริกาอย่างมีนัยสำคัญ แพลตฟอร์มออนไลน์มอบความสะดวกสบาย บริการสมัครสมาชิก และการเข้าถึงผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภท ทำให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงจำนวนมากหันมาเลือกซื้อสินค้าออนไลน์ เนื่องจากความยืดหยุ่นในการเลือกซื้อ การจัดส่งถึงบ้าน และส่วนลดพิเศษ
ผู้เล่นรายใหญ่ในตลาด เช่น Amazon Chewy และ Walmart ได้ลงทุนในแพลตฟอร์มออนไลน์อย่างจริงจัง โดยให้บริการผ่านแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่าย พร้อมคำแนะนำเฉพาะบุคคล ทำให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้ออาหารสัตว์เลี้ยงได้อย่างสม่ำเสมอและตรงตามความต้องการ
ในเดือนตุลาคม 2024 Stella & Chewy’s ได้เปิดตัวเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซแบบขายตรงถึงผู้บริโภค (Direct-to-Consumer) ซึ่งรวบรวมผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงกว่า 100 รายการ ไม่ว่าจะเป็นอาหารดิบ ขนม และอาหารเม็ด เพื่อรองรับความต้องการของเจ้าของสัตว์เลี้ยงยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกและผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง

ความท้าทายของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในสหรัฐอเมริกา
– ต้นทุนวัตถุดิบที่ไม่แน่นอน ความผันผวนของราคาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง เช่น เนื้อสัตว์ ธัญพืช และวัตถุดิบอื่น ๆ ยังคงเป็นความท้าทายสำคัญของอุตสาหกรรม การเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิตซึ่งเกิดจากปัญหาในห่วงโซ่อุปทาน ภาวะเงินเฟ้อ และผลกระทบจากสภาพอากาศ ล้วนส่งผลต่อราคาขาย ทำให้ผู้ผลิตบางรายจำเป็นต้องปรับราคาสูงขึ้นหรือลดอัตรากำไรลง ความผันผวนของราคานี้ส่งผลกระทบต่อแบรนด์ต่าง ๆ โดยเฉพาะแบรนด์เฉพาะทางหรือนอกกระแส ที่อาจเผชิญกับความยากลำบากในการรักษาระดับราคาที่แข่งขันได้โดยไม่ลดคุณภาพ ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของตลาดในภาพรวม
– การปฏิบัติตามข้อกำหนดและมาตรฐานคุณภาพ กฎระเบียบและมาตรฐานคุณภาพที่เข้มงวดในสหรัฐอเมริกา ถือเป็นความท้าทายอีกประการหนึ่งสำหรับผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง องค์กรอย่างเช่น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) และ สมาคมเจ้าหน้าที่ควบคุมอาหารสัตว์แห่งอเมริกา (AAFCO) กำหนดให้มีการทดสอบอย่างละเอียด การติดฉลากที่ชัดเจน และการควบคุมความปลอดภัยของส่วนผสมอย่างเข้มงวด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเพิ่มต้นทุนในการผลิต และทำให้กระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ซับซ้อนยิ่งขึ้น หากบริษัทใดไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด อาจส่งผลให้ต้องเรียกคืนสินค้า ดำเนินคดีทางกฎหมาย และเกิดความเสียหายต่อชื่อเสียง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ผลิตรายย่อยอาจพบว่าเป็นเรื่องยากในการปฏิบัติตามแนวทางที่เข้มงวดเหล่านี้ ซึ่งส่งผลจำกัดความสามารถในการแข่งขันในตลาดได้อย่างมีนัยสำคัญ

ผู้ผลิตและจัดหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยงรายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา 
1. J.M. Smucker เป็นหนึ่งในผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงรายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา โดยมีแบรนด์สำคัญที่รู้จักกันดีในตลาด กลยุทธ์หลักของบริษัทคือการขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมและการใช้ช่องทางอีคอมเมิร์ซอย่างมีประสิทธิภาพ
2. General Mills (Blue Buffalo) เป็นเจ้าของแบรนด์ Blue Buffalo ซึ่งเป็นแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงระดับพรีเมียมที่เน้นส่วนผสมจากธรรมชาติและโภชนาการครบถ้วน บริษัทให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงการขยายตลาดผ่านช่องทางออนไลน์และค้าปลีก
 
3. Tyson Foods เป็นบริษัทชั้นนำด้านผลิตภัณฑ์โปรตีน และได้เข้าสู่ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงด้วยการผลิตส่วนผสมโปรตีนคุณภาพสูง โดยมุ่งเน้นกลยุทธ์การผลิตแบบยั่งยืนและนวัตกรรมในผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยง
4. Colgate-Palmolive มีแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงชื่อ Hill’s Pet Nutrition ซึ่งมีชื่อเสียงด้านอาหารสูตรเฉพาะที่ได้รับคำแนะนำจากสัตวแพทย์ กลยุทธ์หลักคือการเน้นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และขยายสู่ตลาดทั่วโลก
5. DS Holdings, Inc.. เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและอาหารสัตว์เลี้ยง โดยมีเป้าหมายในการเติบโตผ่านการเข้าซื้อกิจการและขยายเครือข่ายการจัดจำหน่าย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
6. Central Garden & Pet บริษัทนี้ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับทั้งพืชสวนและสัตว์เลี้ยง โดยในกลุ่มสัตว์เลี้ยงมีแบรนด์หลากหลายครอบคลุมทั้งอาหารและอุปกรณ์เสริม กลยุทธ์เน้นการพัฒนาแบรนด์ของตนเองและเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทาน
7. Nestlé เป็นเจ้าของแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงชื่อดังอย่าง Purina ซึ่งเป็นผู้นำตลาดในหลายประเทศ กลยุทธ์สำคัญคือการวิจัยและพัฒนาอย่างเข้มข้น การใช้เทคโนโลยีเพื่อสุขภาพสัตว์เลี้ยง และการดำเนินงานที่ยั่งยืน
8. Archer Daniels Midland (ADM)  เป็นบริษัทด้านการเกษตรและโภชนาการระดับโลก ซึ่งมีการขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง โดยมุ่งเน้นการใช้วัตถุดิบธรรมชาติ การผลิตอาหารฟังก์ชัน และการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดโลก

ความคิดเห็นของสคต. นิวยอร์ก 
       แนวโน้มการเติบโตของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในสหรัฐอเมริกาเปิดโอกาสสำคัญสำหรับผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมและฟังก์ชันเฉพาะที่ตอบโจทย์เรื่องสุขภาพและโภชนาการ ด้วยจุดแข็งของประเทศไทยในด้านวัตถุดิบธรรมชาติ เช่น ปลา ข้าว และสมุนไพร รวมถึงมาตรฐานการผลิตที่สามารถพัฒนาให้เทียบเท่าสากล ผู้ประกอบการไทยสามารถสร้างความแตกต่างผ่านแบรนด์ที่เน้นเรื่องความเป็นธรรมชาติ คุณภาพ และปลอดภัย พร้อมต่อยอดผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซและโมเดล Direct-to-Consumer เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคในสหรัฐฯ ได้โดยตรง ทั้งนี้ ควรให้ความสำคัญกับการรับรองมาตรฐานระดับสากล และการสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในตลาดเป้าหมาย เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและยกระดับการแข่งขันในตลาดโลกอย่างยั่งยืน

สคต. นิวยอร์ก เดือนเมษายน 2568