วิเคราะห์การค้าและความสัมพันธ์ระหว่างบังกลาเทศกับจีน: โอกาสและความท้าทาย

วิเคราะห์การค้าและความสัมพันธ์ระหว่างบังกลาเทศกับจีน: โอกาสและความท้าทาย

ในช่วงต้นเดือนธันวาคม 2567 นี้ บังกลาเทศและประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด (Least Developed Countries – LDCs) อื่น ๆ จะได้รับประโยชน์จากการเข้าถึงตลาดจีนโดยไม่มีภาษีในการส่งออกผลิตภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่สำคัญที่มีศักยภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจของบังกลาเทศ และแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของจีนในการเปิดตลาดให้กับประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางการทูต

การเปิดตลาดของจีน: ก้าวสำคัญในความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ

การที่จีนตัดสินใจเปิดตลาดปลอดภาษีสำหรับผลิตภัณฑ์จากประเทศ LDCs รวมถึงบังกลาเทศ ถือเป็นการเคลื่อนไหวที่เป็นประโยชน์ต่อการส่งออกและการเติบโตทางเศรษฐกิจของบังกลาเทศ โดยในปี 2565 จีนได้จัดทำรายการสินค้าปลอดภาษีถึงร้อยละ 98 ของสินค้าบังกลาเทศ ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ถึง 383 รายการ เช่น หนังฟอกและสินค้าเครื่องหนัง การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงการสนับสนุนจากจีนในการพัฒนาเศรษฐกิจของบังกลาเทศ

ความไม่สมดุลในด้านการค้า

แม้ว่าจีนจะเป็นคู่ค้าการค้าที่สำคัญที่สุดของบังกลาเทศ แต่ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศยังคงมีความไม่สมดุล โดยข้อมูลระบุว่าในปีงบประมาณ 2565-66 บังกลาเทศนำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่า 17.8 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ส่งออกไปยังจีนมีมูลค่าเพียง 677 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ ในปี 2564-65 บังกลาเทศส่งออกสินค้าไปจีนที่มูลค่า 683 ล้านดอลลาร์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบังกลาเทศยังต้องพยายามเพิ่มการส่งออกให้มากขึ้น

การส่งเสริมการลงทุน

การเปิดตลาดปลอดภาษีนี้ จึงเป็นโอกาสสำคัญที่บังกลาเทศจะสามารถเพิ่มการลงทุนจากจีนได้ โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ เช่น อุตสาหกรรมเครื่องหนัง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสินค้าที่มีการส่งออกที่สำคัญ การได้รับการสนับสนุนจากจีนในเรื่องการลงทุนและการถ่ายโอนเทคโนโลยีจะช่วยให้บังกลาเทศสามารถพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตและส่งออกได้

สรุป

การที่บังกลาเทศจะได้รับสิทธิการเข้าถึงตลาดไร้ภาษีในจีนตั้งแต่เดือนธันวาคมนี้ เป็นการเปิดโอกาสใหม่ในการพัฒนาความสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ ความสำเร็จในการใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้จะขึ้นอยู่กับความสามารถของบังกลาเทศในการปรับปรุงคุณภาพสินค้าและพัฒนาฐานการผลิต รวมถึงการส่งเสริมการลงทุนจากจีนให้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืนในอนาคต

ที่มาภาพ/ข่าว หนังสือพิมพ์ออนไลน์ท้องถิ่น  https://www.thedailystar.net/

 

de_DEGerman