เนื้อหาสาระข่าว: หลังจากตลอด 3 ปีที่ราคาพุ่งสูงขึ้น ต้นทุนค่าวัสดุก่อสร้างบางรายการก็เริ่มที่จะกลับสู่ภาวะปกติ แต่ก็ยังมีวัสดุและอุปกรณ์อื่นๆ อีกที่กลับแพงขึ้นไปอีก โดย Machinery Partner (บริษัทผู้รับเหมาก่อสร้าง) ใช้สถิติจากสำนักงานสถิติแรงงานศึกษาว่ามีวัสดุก่อสร้างรายการใดบ้างที่ราคาพุ่งสูงขึ้นมากที่สุดในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งได้ทำการวิเคราะห์โดยพิจารณาจากสินค้า 30 รายการที่สำนักสถิติแรงงานได้จัดทำดัชนีราคาผู้ผลิตเอาไว้แล้ว
สรุปว่าการระบาดของ COVID-19 นั้น ทำให้ราคาต้นทุนของวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างในภาพรวมพุ่งสูงขึ้นถึงร้อยละ 39.6 นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2020 การทิ้งงาน การขาดแคลนวัสดุก่อสร้าง และปัญหาเกี่ยวกับการขนส่งในช่วงที่มีการระบาดอย่างหนักนั้นทำให้ห่วงโซ่อุปทานทั้งระบบพังครืนลงมา ซึ่งได้ส่งผลให้ต้นทุนของผู้รับเหมาก่อสร้างถีบตัวสูงขึ้นมาก และเมื่อปัญหาเรื่องแหล่งสินค้าปรับตัวดีขึ้น ราคาก็ค่อยๆ ดีขึ้นด้วย ราคาวัสดุก่อสร้างสำหรับอาคารเชิงพาณิชย์ลดลงร้อยละ 1.1 ในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ยังมีวัสดุก่อสร้างอีกหลายรายการที่ราคายังคงแพงขึ้นอยู่ โดยเฉพาะวัสดุประเภทที่มีน้ำหนักมากๆ ที่ทำให้ค่าขนส่งก็จะแพงขึ้นไปอีกด้วย และราคาค่าก่อสร้างที่สูง ดอกเบี้ยจำนองและค่าแรงที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้การก่อสร้างบ้านเดี่ยวลดลงถึงร้อยละ 17 แม้ระดับความต้องการในตลาดยังคงที่ก็ตาม
ส่วนโครงการก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับระบบโครงสร้างพื้นฐานของทางภาครัฐนั้นมีสถานะที่ดีกว่าเพราะมีงบประมาณมาจากกฎหมายโครงสร้างพื้นฐานและสร้างงานช่วยอยู่ แต่บทบัญญัติที่ว่า “สร้างอเมริกา ซื้ออเมริกา” ในกฎหมายดังกล่าวตีกรอบให้ผู้รับเหมาก่อสร้างจะต้องใช้เหล็ก เหล็กกล้าและวัสดุก่อสร้างอื่นๆ ที่ผลิตในสหรัฐฯ ในโครงการเหล่านี้เท่านั้น จึงมีกลุ่มผู้สันทัดกรณีและผู้รับเหมาบางกลุ่มกลัวว่ากฎดังกล่าวจะทำให้ราคาถีบตัวสูงขึ้นไปอีก นอกจากนี้ กระแสการแปรสภาพอาคารให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น ก็เป็นแรงส่งให้ความต้องการในการใช้วัสดุก่อสร้างที่ช่วยให้ใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าจะผลักให้ราคายิ่งจะสูงขึ้นไปอีกด้วย
ภาวะเงินเฟ้อเป็นปัจจัยเร่งให้วัสดุก่อสร้างหลายๆ รายการยิ่งมีราคาสูงขึ้น รวมถึงวัสดุที่ผลิตจากดินเผา และยังมีโครงการขนาดยักษ์เพิ่มขึ้นมาอีก รวมทถึงโครงการสร้างโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ 2 แห่งในรัฐจอร์เจียซึ่งมีมูลค่ารวมถึง 6.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ก็ยังมาเพิ่มระดับความต้องการสินค้าวัสดุก่อสร้างในตลาดจนราคาต้องขยับสูงขึ้นไปอีก
อัตราค่าขนส่งที่สูงขึ้นไม่ใช่ตัวการเดียวที่ทำให้ราคาคอนกรีตสูงขึ้น ทั้งนี้ก็เพราะกระบวนการผลิตคอนกรีตนั้นเป็นจำเลยสำคัญในเรื่องการปล่อยก๊าซคาร์บอนสู่บรรยากาศ และด้วยแรงกดดันให้ต้องใช้วัสดุก่อสร้างที่ส่งเสริมความยั่งยืนยิ่งขึ้นก็มาเพิ่มให้ราคาต้องสูงขึ้นด้วย การพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ก็มีผลต่อราคา สูตรการผสมคอนกรีตแบบใหม่ที่ใช้กันในตลาดขณะนี้ก็มีต้นทุนที่สูงกว่าสูตรเดิม
ระยะเวลาที่ยาวนานในการจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ นั้นทำให้บรรดาผู้รับเหมาฯ นั้น ยากที่จะรับงานโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในขณะที่ภาครัฐกำลังใช้จ่ายเพื่อการนี้มากขึ้น และแม้แต่บริษัทผู้รับเหมาฯ ที่มีเครื่องจักรที่จำเป็นอย่างเพียงพออยู่แล้ว ก็ยังมีต้นทุนที่สูงขึ้นด้วยเหตุที่ราคาน้ำมันดีเซลมีราคาสูงขึ้น
ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างยังต้องรับแรงกดดันจากตลาดแรงงานที่มีการแข่งขันสูงจนจำเป็นต้องจ่ายค่าแรงให้สูงขึ้นด้วย ต้นทุนค่าจ้างงานนั้นสูงขึ้นร้อยละ 5.5 เมื่อเทียบปีต่อปี ในขณะที่อัตราค่าจ้างแรงงานโดยเฉลี่ยนั้นสูงขึ้นราวร้อยละ 17 นับตั้งแต่ตอนที่เริ่มเกิดโรคระบาด เพราะต้องแข่งขันกันหาคนงานมาทำงานให้พอ การขาดแคลนแรงงานนั้นอาจส่งผลให้ต้องเริ่มงานล่าช้าไปอีก ซึ่งจะทำให้ต้องรับความเสี่ยงมากยิ่งขึ้นจากราคาวัสดุก่อสร้างที่สูงขึ้นไปอีก
บทวิเคราะห์: นอกเหนือจากบทความจากการวิเคราะห์เจาะลึกของ Machinery Partner ในบทความข้างต้นแล้ว ก็ยังมีบทวิเคราะห์ของสมาคมผู้รับเหมาก่อสร้างบ้านแห่งชาติ (National Association of Home Builders – NAHB) ที่คอยจับตาราคาสินค้าวัสดุก่อสร้างในตลาดสหรัฐฯ อยู่ด้วย NAHB ได้นำตัวเลขสถิติจากแหล่งเดียวกัน (สำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ) มาวิเคราะห์จากรายงานดัชนีราคาผู้ผลิตว่า ราคาของวัสดุก่อสร้างที่ใช้สหรับโครงการก่อสร้างเพื่อการพักอาศัย หักต้นทุนด้านพลังงานแล้ว นั้น สูงขึ้นร้อยละ 0.2 ในเดือนพฤศจิกายน หลังจากที่ราคาลดลงร้อยละ 0.4 ในเดือนตุลาคม 2023 และพิจารณาจนถึงเดือนพฤศจิกายน 2023 ตัวเลขดัชนีสูงขึ้นร้อยละ 0.8 (ยังไม่ได้ปรับตามฤดูกาล – NSA) นับว่าเป็นการขยับราคาสูงขึ้นน้อยที่สุดในรอบปี (นับถึงเดือนพฤศจิกายน) หลังจากที่ราคาเคยต่ำลงร้อยละ 0.2 ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2019 แต่โดยรวมแล้ว นับจากเดือนกุมภาพันธ์ 2020 เป็นต้นมาราคาวัสดุก่อสร้างสูงขึ้นถึงร้อยละ 36
ดัชนีราคาผู้ผลิตของสินค้าสำหรับอุปสงค์ขั้นสุดท้ายในเดือนพฤศจิกายนไม่มีการเปลี่ยนแปลง หลังจากที่ลดลงร้อยละ 1.6 ในเดือนตุลาคม (ปรับตามฤดูกาลแล้ว – SA) แม้ดัชนีราคาพลังงานสำหรับอุปสงค์ขั้นสุดท้ายในเดือนนี้จะลดลงร้อยละ 1.2 แต่ดัชนีราคาอาหารและสินค้าสำหรับอุปสงค์ขั้นสุดท้ายสูงขึ้น (SA) มากลบกันไป และในรอบ 12 เดือนสิ้นสุดในเดือนพฤศจิกายน ดัชนีราคาผู้ผลิตของสินค้าสำหรับอุปสงค์ขั้นสุดท้ายไม่รวมอาหารและพลังงานลดลงร้อยละ 1.8 (NSA) ดัชนีราคาผู้ผลิตของบริการสำหรับอุปสงค์ขั้นสุดท้ายไม่เปลี่ยนแปลงติดต่อกันมาเป็นเดือนที่ 2 (SA) เพราะดัชนีราคาผู้ผลิตสำหรับอุปสงค์ขั้นสุดท้ายของบริการด้านการค้ารวมถึงบริการขนส่งและคลังสินค้าที่ลดลงถูกชดเชยด้วยตัวเลขสูงขึ้นร้อยละ 0.1 ของดัชนีราคาสำหรับบริการอื่นๆ ที่เหลือทั้งหมดได้พอดี และเมื่อพิจารณาเป็นรายหมวดสินค้า NAHB ได้วิเคราะห์ต่อไปว่าดังนี้
คอนกรีตผสมเสร็จ: ราคาขยับสูงขึ้นร้อยละ 0.1 ในเดือนพฤศจิกายน (SA) โดยราคาเริ่มชะลอตัวลงมา 2 เดือนต่อเนื่อง ราคาเมื่อเทียบปีก่อน เคยขึ้นไปสูงที่สุดในเดือนพฤษภาคม 2023 ถึงร้อยละ 13.3 (NSA) ชะลอตัวลงมา โดยราคาสูงขึ้นร้อยละ 9.4 ในเดือนพฤศจิกายน
ในเดือนพฤศจิกายน ราคาคอนกรีตผสมเสร็จลดลงร้อยละ 0.6 ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันตกตอนกลางของสหรัฐฯ แต่สูงขึ้นร้อยละ 0.5 และ0.7 ในภาคใต้และตะวันตกตามลำดับ (NSA) โดยในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ราคาในภูมิภาคตะวันตกตอนกลางสูงขึ้นที่สุดในภาคตะวันตกตอนกลาง (14.1%) ในขณะที่ภาคตะวันตกสูงขึ้นในราคาสูงขึ้นน้อยที่สุด (+3.1%)
วัสดุก่อสร้างที่ผลิตจากยิปซั่ม: ดัชนีราคาผู้ผลิตในเดือนพฤศจิกายนไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากที่ลดลงเล็กน้อยในเดือนตุลาคม สินค้าหมวดนี้ราคาสูงขึ้นล่าสุดเดือนมีนาคมและจนถึงเดือนพฤศจิกายนลดลงร้อยละ 1.6
เทียบกันแล้วราคายังต่ำกว่าในเดือนพฤศจิกายน 2022 และในรอบ 12 เดือนราคาชะลอตัวลงมาอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งแรกของปี 2023แล้วกลับมาติดลบในเดือนสิงหาคม
สินค้าจากโรงงานเหล็ก: ราคาลดลงร้อยละ 1.5 ในเดือนตุลาคม (NSA) ดัชนีราคาของสินค้าหมวดนี้ลดลงทุกเดือนต่อเนื่องมาตลอด 6 เดือนที่ผ่านมารวมแล้วลดลงร้อยละ 13.9 ซึ่งราคาขณะนี้นับว่าต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2021
ดัชนีราคาสินค้าจากโรงงานเหล็กจากต้นปีถึงเดือนพฤศจิกายนลดลงร้อยละ 2.9 ยังลดลงมาน้อยกว่าที่เคยลดลงถึงร้อยละ 26.0 ช่วงเดียวกันของปี 2022 แต่สวนทางกับช่วงเดียวกันในปี 2021 ที่ราคาพุ่งสูงขึ้นมากถึงร้อยละ 115.7 โดยดัชนีดังกล่าวยังสูงแค่ 1 ใน 3 ส่วนของดัชนีในขณะที่พุ่งสูงที่สุดในเดือนธันวาคม 2021
ไม้ท่อนเนื้ออ่อน: ราคาลดลงอย่างรวดเร็วในเดือนพฤศจิกายนด้วยดัชนีราคาผู้ผลิตลดลงมาร้อยละ 5.8 (SA) ลดลงมากว่า 2 เท่าตัวของเดือนตุลาคม ดัชนีราคาผู้ผลิตลดลงร้อยละ 19.7 ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา (NSA) และราคาต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2020
บริการต่างๆ: ดัชนีราคาของบริการที่เป็นต้นทุนในการก่อสร้างเพื่อการพักอาศัย ไม่รวมค่าแรงงาน ลดลงร้อยละ 0.1 ในเดือนพฤศจิกายน (NSA) หลังจากที่เคยสูงขึ้นร้อยละ 0.6 ในเดือนตุลาคม ตัวเลขดัชนีสูงขึ้นร้อยละ 2.9 นับจากต้นปี และสูงกว่าปีก่อนร้อยละ 0.5
ราคาค่าขนส่ง: มีการเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาทั้งขึ้นและลงในเดือนพฤศจิกายน ราคาของค่าขนส่งทางรางและทางเรือสูงขึ้นร้อยละ 0.4 และ 1.6 (NSA) ตามลำดับ ส่วนค่าขนส่งโดยรถบรรทุกกลับลดลงร้อยละ 0.6 (NSA) ราคาค่าขนส่งโดยรถบรรทุกทั้งระยะใกล้และไกลต่างพากันลดลง และเมื่อพิจารณาตัวเลขจากต้นปีถึงเดือนพฤศจิกายนพบว่าค่าขนส่งทางรางสูงขึ้นร้อยละ 0.1 ในขณะที่ค่าขนส่งโดยรถบรรทุกและทางเรือต่างลดลงมาร้อยละ 5.3 และ 4.1 ตามลำดับ
ผู้ค้าปลีกและค้าส่งวัสดุก่อสร้าง: ดัชนีระดับผลกำไรของบรรดาผู้ค้าปลีกและค้าส่ง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณเกือบๆ ร้อยละ 40 ของดัชนีค่าบริการอันเป็นต้นทุนของการก่อสร้างอาคารเพื่อการพักอาศัยนั้น ลดลงร้อยละ 0.4 และ1.0 ตามลำดับในเดือนพฤศจิกายน (SA) และในรอบปีที่ผ่านมา ดัชนีราคาผู้ผลิตสำหรับการค้าปลีกสูงขึ้นร้อยละ 3.4 ในขณะที่ดัชนีของการค้าส่งกลับลดลงร้อยละ 6.8 (NSA)
ข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ: จากบทความข้างต้นจะเห็นว่าระดับความต้องการหรืออุปสงค์ในตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัยของสหรัฐฯ ยังสูงต่อเนื่องหรือพูดง่ายๆ ว่ายังมีบ้านพักอาศัยไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้บริโภค ซ้ำร้ายยังมีแรงกดดันจากโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานอีกมากมายที่ภาครัฐกำลังใช้จ่ายอย่างหนักส่งผลให้ราคายิ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง แม้ในส่วนของโครงการภาครัฐจะมีกฎหมายบังคับให้ต้องใช้วัสดุก่อสร้างที่ผลิตภายในสหรัฐฯ เท่านั้น แต่โครงการอื่นๆ ทั้งเพื่อการพักอาศัยและเชิงพาณิชย์ก็ยังต้องจัดซื้อจัดหาวัสดุจากแหล่งต่างๆ ในตลาดเดียวกันทั้งที่ผลิตในสหรัฐฯ และแหล่งอื่นๆ แรงกดดันดังกล่าวน่าจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเสาะหาวัสดุจากนอกประเทศมาใช้สำหรับครงการอื่นๆ ที่ไม่ใช่สำหรับภาครัฐ และแม้แต่โครงการของภาครัฐเอง วัสดุ เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่นำมาใช้ในโครงการเหล่านั้น ก็ยังอาจใช้วัตถุดิบจากภายนอกประเทศได้ด้วย ตราบเท่าที่กระบวนการผลิตยังอยู่ภายในสหรัฐฯ
นอกจากตลาดสหรัฐฯ แล้ว สคต. ไมอามีก็ยังอยากจะเชิญชวนให้ผู้ผลิตสินค้าวัสดุก่อสร้างที่มีความสามารถผลิตเพื่อส่งออกและสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก หันมาสนใจตลาดที่มักถูกมองว่าเป็นเพียงตลาดรอง แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นตลาดสำหรับสินค้าวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งที่มีศักยภาพสูงมาก ซึ่งคือตลาดท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสูงสุดสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักจากทั่วโลก หรือบรรดาประเทศหมู่เกาะต่างๆ ในแถบทะเลแคริบเบียน ประเทศเหล่านี้ที่ใหญ่ที่สุดก็มีประชากรเพียง 10 ล้านไล่ไปจนถึงประเทศจิ๋วๆ ที่มีประชากรเพียงหลักพันคนเท่านั้น สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป ก็อาจมองได้ว่าเป็นตลาดเบี้ยหัวแตก เล็กๆ ไม่คุ้มที่จะบุกตลาดกันบ้าง แต่แต่สำหรับวงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการท่องเที่ยวแล้ว แทบทุกเกาะนั้นมีการก่อสร้างห้องพักเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน โดยในแต่ละประเทศจะมีการสร้างห้องพักใหม่และปรับปรุงห้องพักเก่าอยู่ทุกปี ในอัตราประเทศละ 500-2,000 ห้องทุกปี (จากสถิติล่าสุดเมื่อปี 2019) ในระหว่างที่มีโรคระบาดก็มีการชะลอโครงการไปบ้าง แต่ขณะนี้ เชื่อว่าคงจะปัดฝุ่นโครงการที่ชะลอไว้ เดินเครื่องจักรทำงานกันใหม่แล้ว หากผู้ประกอบการท่านใดสนใจก็โปรดแจ้งมาที่ สคต. ไมอามี เพื่อจะได้เตรียมรายชื่อไว้เพื่อจะเชิญมาร่วมโครงการด้วยกัน ขณะนี้ได้เริ่มเดินเครื่องเจาะตลาดในสาธารณรัฐโดมินิกันไปแล้ว โดยมีเพียงผู้ผลิตรายเดียวที่ร่วมเดินทางไปเปิดตลาดร่วมกับ สคต. ไมอามี หากมีผู้ประกอบการไทยที่สนใจจำนวนมากๆ ก็อาจมีความเป็นไปได้ที่จะจัดโครงการจับคู่ธุรกิจกับผู้ซื้อในประเทศอื่นๆ มากขึ้นได้ นอกจากนี้ อีกตลาดหนึ่งที่มีศักยภาพสูงมาก แต่เงื่อนไขการเข้าถึงผู้ซื้อก็เข้มงวดมากด้วย ซึ่งก็คือตลาดเรือสำราญ โดยท่าเรือไมอามีนั้น ถูกขนานนามว่าเป็นเมืองหลวงของเรือสำราญ ซึ่ง สคต. ไมอามีกำลังพยายามเข้าให้ถึงผู้ซื้อตัวจริงเพราะเปิดตลาดบริการด้านอาหารเข้าสู่เรือสำราญ แล้วก็จะเปิดทางให้กับบรรดาสถาปนิก นักออกแบบตกแต่งภายในและวิศวกรได้เข้าไปเสนองานกันได้ด้วย เท่าที่ทราบในขณะนี้มีบริษัทผู้ผลิตพรมของไทยเพียงรายเดียวที่สามารถเจาะเข้าสู่ตลาดนี้ได้ เพราะได้รับการรับรองมาตรฐานผู้ผลิตตามที่บรรดาเรือสำราญกำหนดไว้ เช่นเดียวกัน หากมีผู้ประกอบการท่านใดสนใจตลาดนี้ ก็ส่งเสียงมาให้เราทราบด้วยก็จะดี
ข้อพึงระวัง สำหรับผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างที่มีตลาดในต่างประเทศในช่วงนี้ ก็คือจะต้องจับตาดูความเคลื่อนไหวของผู้ผลิตที่เป็นคู่แข่งจากจีนเป็นพิเศษ ทั้งนี้เพราะมีสินค้าวัสดุก่อสร้างหลักๆ หลายรายการที่แหล่งผลิตในจีนผลิตออกมาจนล้นสายการผลิตและกำลังใช้ความพยายามระบายสินค้าออกมาในราคาที่ต่ำกว่าปกติ อาทิ เหล็ก เหล็กกล้า ปูน กระเบื้อง ฯลฯ และก็อาจสร้างแรงกดดันให้สินค้าในกลุ่มเหล่านี้มีราคาลดลงในตลาดโลกได้ สำหรับในสหรัฐฯ มีสินค้าหลายรายการของจีนที่ถูกจับตา สอบสวนและบางรายการก็เริ่มมีมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดไปบ้างแล้ว เร็วบ้างช้าบ้าง ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับแรงกดดันของผู้ประกอบการในสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบในการร้องเรียนและภาวะเงินเฟ้อที่อาจต้องใช้สินค้าราคาต่ำๆ จากนอกประเทศมาช่วยบรรเทา แต่ในขณะนี้ แรงกดดันลดลงแล้ว ก็อาจทำให้มาตรการต่างๆ ทยอยกันออกมามากขึ้นได้ สำหรับในตลาดอื่นๆ หากจะเจาะเข้าไปก็จะต้องศึกษาความเคลื่อนไหวเหล่านี้ให้ดีเสียก่อน เพื่อจะวางแผนหาจังหวะเวลาและตลาดเป้าหมายที่เหมาะสม
*********************************************************
ที่มา: The Kansas City Star Thema: “The cost of these 5 construction materials grew the most in 2023” โดย: Jill Jaracz (Data work by Paxtyn Merten Stacker) สคต. ไมอามี /วันที่ 2 มกราคม 2567