Volkswagen (VW) ในฐานะบริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในยุโรป มักจะจัดประชุมคณะกรรมการของบริษัทฯ เพื่อวางแผนการปฏิบัติงาน ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของทุก ๆ ปี โดยในการประชุมดังกล่าวได้มีการหยิบยกประเด็นการลงทุนในอีก 5 ปีข้างหน้า ด้วยเงินหลายแสนล้านยูโร ว่า จะถูกจัดสรรจ่ายเป็นงวด ๆ ไป และยังได้มีการหารือถึงเรื่องรถยนต์รุ่นใหม่รุ่นไหนที่จะถูกส่งไปผลิตในโรงงานของ Volkswagen โรงงานใดบ้าง ซึ่งจริง ๆ แล้วในการประชุมในครั้งนี้คณะกรรมการตั้งใจที่จะตัดสินใจเกี่ยวกับการวางแผนรอบที่ 73 แต่ในครั้งนี้กลับไม่เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติเดิมที่ทำสืบเนื่องกันมายาวนาน เนื่องจากมีหลายคนที่เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการดังกล่าวได้รายงานไปยังหนังสือพิมพ์ Handelsblatt ถึงวิกฤติของ Volkswagen ในปัจจุบัน ที่ทำให้เกิดการตั้งคำถามขึ้นมากมาย โดยเฉพาะคำถามที่เกี่ยวข้องกับอนาคตของโรงงานของบริษัท Volkswagen บางแห่งในเยอรมนี คณะผู้บริหารได้ประกาศการปรับโครงสร้างพื้นฐานของสินค้ายี่ห้อหลักเนื่องจากจวนจะประสบปัญหาล่มละลาย อีกทั้งมีการคาดว่า จะมีการปลดพนักงานจำนวนมาก นาย Oliver Blume, CEO ของ Volkswagen ได้กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่จะปิดโรงงาน ซึ่งคณะกรรมการน่าจะประชุมกันอีกครั้งในวันศุกร์ตามแผนที่วางไว้ อย่างไรก็ตาม คณะผู้ตรวจสอบของ Volkswagen น่าจะขอให้ฝ่ายบริหารที่ทำงานรอบนาย Blume วิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันของ VW ก่อนที่กลุ่มจะหารือเกี่ยวกับอนาคตของกลุ่ม และอัตราการปฏิบัติงานของโรงงานแต่ละแห่งต่อไป
เรียกได้ว่าสัปดาห์นี้ น่าจะเป็นสัปดาห์ที่สำคัญมาก ๆ สำหรับนาย Blume ในการที่เขาจะสามารถพิสูจน์ว่า เขาสามารถควบคุมบริษัทฯ ได้ แม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด นอกจากนี้ ก่อนที่นาย Blume จะเข้าประชุมคณะกรรมการในวันศุกร์นี้ เขาจะต้องเจรจาร่วมกับสหภาพแรงงานอุตสาหกรรมเหล็ก (Industriegewerkschaft Metall, IG Metall) ที่จะเริ่มในวันพุธและพฤหัสบดีก่อนอีกด้วย โดยผู้นำสหภาพฯ ของโรงงาน Volkswagen ในเยอรมนี จะพบกับฝ่ายบริหารเพื่อร่วมหารืออย่างเป็นทางการ เรียกได้ว่า เป็นครั้งแรกที่ความสัมพันธ์ระหว่างคณะกรรมการ และกลุ่มแรงงานตึงเครียดอย่างหนัก ตั้งแต่ที่นาย Blume เข้ามารับตำแหน่ง CEO ขณะนี้ ฝ่ายแรงงานยังไม่เห็นด้วยและพร้อมที่จะลดความร่วมมือในการประหยัดงบประมาณของบริษัทฯ หลังจากที่พวกเขาทราบข่าวร้ายดังกล่าว โฆษกของสหภาพฯ เพิ่งออกมายืนยันกับ Handelsblatt ว่า การเจรจาอาจจะเป็นอัมพาตหรือถึงทางตัน อาจทำให้รอบการวางแผนในเมือง Wolfsburg อาจจะไม่ประสบความสำเร็จก็ได้ ในการเจรจาต่อรองร่วมกับนาย Thorsten Gröger ผู้นำการเจรจา IG Metall กล่าวว่า “ด้วยการยุติข้อตกลงร่วมยกเลิกสัญญาจ้างนั้น หมายความว่า Volkswagen ได้จุดไฟเผา วัฒนธรรม การตัดสินใจร่วมกัน ที่ทั้ง 2 ฝ่ายร่วมกันดูแลมานานหลายทศวรรษ และเป็นผู้เติมเชื้อเพลิงปัญหาเพิ่มเติมด้วยการขู่จะปิดโรงงานเข้าไปอีก” ไม่เพียงแต่สัญญาการจ้างงานเท่านั้นที่ถูกยกเลิก แต่ในเวลาเดียวกันความน่าเชื่อถือของ Volkswagen ก็ถูกทำลายลงไปด้วยเช่นกัน แน่นอนในความเป็นจริงแล้วเวลานี้ “จักรวาล Wolfsburg” เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน หลังจากที่เหล่าคณะกรรมการผู้บริหารรอบ ๆ ตัวของนาย Blume, CEO ได้ออกมาประกาศการเลิกจ้างพนักงาน และความประสงค์ที่จะการโรงงานในเยอรมนีเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา เพื่อเป็นทางเลือกในการควบคุมต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างหนักของ Volkswagen ภายในปี 2026 เฉพาะรถยนต์ยี่ห้อหลัก VW เพียงยี่ห้อเดียวจะต้องประหยัดเงินให้ได้อย่างยั่งยืนสูงถึง 1 หมื่นล้านยูโร ให้ได้ วงในแอบกระซิบมาว่า ขณะนี้ยังมีช่องว่างถึง 4 พันล้านยูโร แม้ว่าจะพยายามอย่างหนักในการประหยัดก็ตาม เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีรายงานจาก นิตยสาร “Manager Magazine” ว่าเป็นไปได้ที่จะมีการเลิกจ้างงานสูงถึง 30,000 ตำแหน่ง ไม่กี่วันก่อนหน้านี้บริษัทวิเคราะห์ Jefferies ของสหรัฐฯ หลังจากได้ทำการหารือกับฝ่ายบริหาร Volkswagen ในฝั่งอเมริกาเหนือ ก็ได้มีการพูดกันว่า ในอนาคตอันใกล้นี้รถยนต์ยี่ห้อหลักของ VW มีตำแหน่งงานที่มีความเสี่ยงมากกว่า 15,000 ตำแหน่ง ตัวเลขทั้ง 2 เป็นตัวเลขข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของบริษัท โดยผู้ที่คุ้นเคยกับกระบวนการดังกล่าวว่า ปัจจุบัน “ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับแผนและขอบเขตของการลดการจ้างงาน” ยังไม่มีการตัดสินใจใด ๆ อย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีคำถามที่ยังไม่มีคำตอบในรอบการวางแผนนี้อีกเป็นจำนวนมาก อย่างคำถามที่สำคัญกว่าการเลิกจ้างงาน โดยหลังเกิดเหตุการณ์ “แผ่นดินถล่ม” ในศูนย์ Volkswagen ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็ยังไม่ชัดเจนว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้าควรมีการลงทุนเป็นมูลค่าสูงขนาดไหน โดยในระหว่างการกล่าวนำเสนอตัวเลขครึ่งปีครั้งล่าสุด นาย Blume, CEO และ นาย Arno Antlitz, CFO มีกล่าวถึง ปริมาณมูลค่าการลงทุนแบบลอย ๆ ที่ 165 พันล้านยูโร ซึ่งน้อยกว่าแผน 5 ปีในปัจจุบันถึง 15 พันล้านยูโร ขณะนี้ Handelsblatt ได้รับทราบจากแวดวงในองค์กรว่า จำนวนเงินสำหรับการลงทุนอาจน้อยกว่านี้เล็กน้อยอยู่ที่ 160 พันล้านยูโร ซึ่งไม่น่าจะทำให้กลุ่มสหภาพแรงงานที่นั่งอยู่ในคณะกรรมการพอใจได้ จากการลงทุนที่น้อยลงทำให้กลุ่มสหภาพแรงงานเห็นว่า ทำให้เกิดการสั่นคลอนกับภาระผูกพันของวางแผนรอบก่อนหน้านี้ ตัวอย่างเช่น เป็นเรื่องที่น่าสงสัยว่า โรงงานหลักในเมือง Wolfsburg จะได้รับคำสั่งให้ผลิตรถ SUV EV รุ่นกะทัดรัดในปี 2026 หรือไม่ รถยนต์รุ่นดังกล่าวจะเป็นรถ EV รุ่นแรกสำหรับที่ผลิตใน Wolfsburg หลังจากที่ VW ยกเลิกการผลิตรถ EV ขนาดกะทัดรัด ID.3 เมื่อต้นปีเนื่องจากมีความต้องการต่ำ นอกจากนี้ timetable ในแผนการเริ่มใช้งานแพลตฟอร์ม SSP แพลตฟอร์มสำหรับผลิตรถไฟฟ้าในอนาคตของรถทุกรุ่นในเครือ Volkswagen และการเริ่มส่งรถรุ่น Trinity ซึ่งเป็นรถรุ่นที่ VW ตั้งความหวังไว้เป็นอย่างมาก (คู่แข่ง Tesla) ทั้ง 2 แผนการนี้ก็มีแนวโน้มที่จะถูกเปลี่ยนแปลงและถูกเลื่อนออกไปอีกครั้ง ตามที่ Handelsblatt ได้รายงานในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
มีแนวโน้มว่าด้วยความต้องการรถ EV ที่ลดลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดยุโรป การขยายโรงงานแบตเตอรี่ในเมือง Salzgitter น่าจะช้ากว่าที่วางแผนไว้ ด้วยเหตุนี้ทำให้รถยนต์สันดาปยี่ห้อที่เน้นการจำหน่ายแบบปริมาณมากอย่าง Volkswagen, Skoda และ Seat จึงยังสามารถจำหน่ายได้นานกว่าที่วางแผนไว้ นักลงทุน และนักวิเคราะห์ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์การลงทุนที่สูงของ Volkswagen มานานแล้ว ซึ่งการลงทุนนี้สร้างความตึงเครียดให้กับกระแสเงินสด (Cashflow) ให้กับ Volkswagen โดย Cashflow นี้เป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์สภาพคล่องที่ใช้ในการชำระเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นนั้นเอง นอกจากนี้รอบการวางแผนใหม่นี้ยังเกี่ยวข้องกับครอบครัว Porsche/Piëch, รัฐ Niedersachsen และประเทศกาตาร์ ที่เป็นผู้ถือหุ้นหลักของบริษัท Volkswagen อีกด้วย แน่นอนที่พวกเขาต้องคำนึงถึงการจ่ายเงินปันผลให้กับพวกเขาของ VW ในเวลาเดียวกันความกดดันที่เกิดขึ้นกับนาย Blume, CEO จากฝั่งพนักงานก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้เขายังเป็นผู้บริหาร Porsche หนึ่งในบริษัทผู้กำหนดค่าดัชนีหุ้นเยอรมนี (DAX) ซึ่งก่อให้เกิดความสงสัยในตัวเขามากขึ้นเมื่อมีการพูดถึงถึงวิกฤตอุตสาหกรรมรถยนต์ในปัจจุบัน นาง Daniela Cavallo ประธาน IG Metall กล่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า “คณะกรรมการบริหารโดยรวมของเครือ Volkswagen จะต้องออกมารับผิดชอบกับการจัดการกับปัญหาในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนาย Oliver Blume ในฐานะ CEO จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบหลักกับการจัดการกับปัญหา (ที่แย่) ของเครือบริษัทของเราในอนาคตอันใกล้นี้”
จาก Handelsblatt 14 ตุลาคม 2567