หลังจากเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 66 ของเม็กซิโก เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีเชนบาม ก็ได้ประกาศทิศทางนโยบายการค้าระหว่างประเทศของเม็กซิโก ที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรการค้าที่สำคัญ ดึงการลงทุนเข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศ และส่งเสริมนวัตกรรมและพัฒนาพลังงานหมุนเวียนเพื่อความยั่งยืน ทั้งนี้ นโยบายการค้าระหว่างประเทศที่สำคัญ แบ่งออกเป็น 5 ประเด็น ดังนี้
- การเจรจาทบทวนตกลงการค้าเสรีระหว่างสหรัฐอเมริกา-เม็กซิโก–แคนาดา (USMCA)
ความตกลงการค้าเสรีระหว่างสหรัฐอมเริกา เม็กซิโก และแคนาดา หรือ The United States of America – Mexico – Canada Agreement : (USMCA) มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2020 (แทนความตกลงฯ ฉบับเดิมคือ the North America Free Trade Agreement: NAFTA) มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน การใช้ทรัพยากรในประเทศภาคีอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจในถูมิภาค โดยประเทศภาคีทั้ง 3 ประเทศ มีกำหนดเจรจาทบทวนความตกลง USMCA อีกครั้งในปี 2026 ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาในการหาเสียงประธานาธิบดีเชนบาม ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความตกลง USMCA ที่เป็นหนึ่งในเสาหลักในการกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจเม็กซิโก ดังนั้น รัฐบาลชุดใหม่จะให้ความสำคัญกับการเจรจาทบทวนความตกลง USMCA ที่กำลังจะมาถึง โดยจะมีข้อเสนอให้มีการทบทวนและปรับปรุงความตกลงฯ ในประเด็นต่างๆ เพื่อให้เม็กซิโกได้ใช้ประโยชน์จากความตกลงฯ ได้มากขึ้น อย่างไรก็ดี การเลือกตั้งในสหรัฐฯ ในช่วงปลายปีนี้นับเป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อการเจรจาทบทวนความตกลงฯ ดังกล่าว ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด
- นโยบายการส่งเสริม Nearshoring:
“Nearshoring” เป็นแนวทางการดำเนินธุรกิจที่เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับบริษัทที่ต้องการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ โดยบริษัทผู้ผลิตย้ายฐานการผลิตสินค้าและบริการของตนไปอยู่ในประเทศที่มีที่ตั้งอยู่ใกล้กับตลาดเป้าหมายเพื่อลดต้นทุนในการขนส่ง รวมถึงการบริหารจัดการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการส่งสินค้าและบริการให้กับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยรัฐบาลประกาศการพัฒนา “Poles for Wellbeing” หรือ การกำหนดพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่จะดึงดูดให้บริษัทต่างๆ ย้ายฐานการผลิตมายังเม็กซิโก โดยมีการให้สิทธิพิเศษทางภาษี การปรับปรุงกฎระเบียบ/ข้อบังคับให้เป็นง่ายต่อการทำธุรกิจและการอำนวยความสะดวกต่อนักลงทุนมากขึ้น รวมถึงการพัฒนาระบบสาธานณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น คอคอดระหว่างมหาสมุทรที่เทฮวนเตเปค (Interoceanic Corridor of the Tehuantepec Isthmus) ซึ่งเป็นเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกและแอตแลนติก อีกทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานท่าเรือที่ซาลีน่า ครูซ และโคอัตซาโคลคอส ซึ่งมีเป้าหมายในการทำให้เม็กซิโกเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ระดับนานาชาติ การสนับสนุน Nearshoing ดังกล่าวมุ่งเน้นการดึงดูดการลงทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รวมถึงช่วยส่งเสริมการค้าระหว่างภูมิภาคมากขึ้น
- นโยบายด้านนวัตกรรมและการพัฒนา:
ประธานาธิบดีเชนบาม ได้ให้ความสำคัญกับการผลักดันการเปลี่ยนแปลงนโยบายพลังงานของเม็กซิโกไปสู่การส่งเสริมและพัฒนาพลังงานสะอาดและยั่งยืน โดยนโยบายนี้นอกจากจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและแก้ปัญหาด้านมลพิษของเม็กซิโกแล้ว ยังเป็นการสร้างความสามารถในการแข่งขันด้านพลังงานให้ยั่งยืนและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา เพื่อพัฒนาโปรแกรมการศึกษาและการฝึกอบรมที่ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในภาคการผลิต โดยมีการสร้างพันธมิตรกับศูนย์วิจัยและมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ เพื่อผลักดันโครงการวิจัยประยุกต์ในสาขาเฉพาะ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพิ่มขึ้น
- รับฟังความเห็นจากภาคเอกชน:
ประธานาธิบดีเชนบาม ได้พบปะกับหอการค้าหลายแห่ง เพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากภาคเอกชน โดยได้ให้คำมั่นถึงความโปร่งใสและการร่วมมือในการส่งเสริมการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ ประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกมาหารือ ได้แก่ นโยบายภาษีศุลกากร การอำนวยความสะดวกในการค้า และการสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้เข้าถึงตลาดต่างประเทศ ทางด้านสภาธุรกิจเม็กซิโกเพื่อการค้าต่างประเทศ การลงทุน และเทคโนโลยี ได้เสนอข้อริเริ่มในการปรับปรุงความสัมพันธ์ทางการค้า เช่น การใช้เครื่องมือดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการนำเข้าและส่งออก รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ เช่น ท่าเรือ สนามบิน และการขนส่งทางบก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการขนส่งสินค้า
- การแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีที่สำคัญ:
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ภาคธุรกิจ ประธานาธิบดีเชนบาม ได้แต่งตั้งบุคคลที่มีชื่อเสียงและมีประสบการณ์ด้านการค้าและเศรษฐกิจ เข้ารับตำแหน่งสำคัญในคณะรัฐมนตรี เช่น:
มาร์เซโล เอบราร์ด: รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ ผู้ซึ่งมีประสบการณ์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเม็กซิโกกับสหรัฐอเมริกา
จูลิโอ เบอร์เดเก: รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนานโยบายด้านการเกษตร และมีจุดยืนต่อประเด็นข้าวโพดดัดแปลงพันธุกรรมในกลุ่ม USMCA
โรเจลิโอ รามิเรซ เดอ ลา โอ: รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งในรัฐบาลชุดก่อน เพื่อรักษาความมั่นคงทางนโยบายการคลัง
ฮวน ราโมน เดอ ลา ฟูเอนเต: รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้มีประสบการณ์ในการทูตระหว่างประเทศมายาวนาน
ข้อคิดเห็น
นโยบายการค้าระหว่างประเทศภายใต้การดูแลของประธานาธิบดีเชนบาม สะท้อนถึงแนวทางใหม่ในการนำพาเม็กซิโกไปสู่การพัฒนาทางเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศพันธมิตรการค้าสำคัญ โดยเฉพาะการทบทวนความตกลง USMCA ที่จะสามารถเพิ่มโอกาสให้เม็กซิโกได้ใช้ประโยชน์จากความตกลงฯ ได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าในภูมิภาคให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น นอกจากนี้ นโยบายการส่งเสริม Nearshoring ในเม็กซิโก เป็นการใช้ข้อได้เปรียบด้านตำแหน่งที่ตั้งของเม็กซิโกที่อยู่ใกล้กับสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ในการดึงดูดการลงทุนจากบริษัทข้ามชาติในการย้ายฐานการผลิตมาในเม็กซิโก เพื่อผลิตสินค้าป้อนตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่และกำลังซื้อสูงดังกล่าว แทนการพึ่งพาฐานการผลิตที่อยู่ห่างไกล รวมทั้งนโนบายที่มุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ การส่งเสริมนวัตกรรมและพัฒนาพลังงานหมุนเวียนเพื่อความยั่งยืน ล้วนเป็นนโยบายที่เน้นการดึงจุดแข็งของเม็กซิโกมาใช้ประโยชน์ให้เต็มศักยภาพมากขึ้น ทั้งนี้ นโยบายดังกล่าวได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากภาคเอกชนที่เชื่อมั่นว่านโยบายเหล่านี้ จะช่วยให้เม็กซิโกมีความพร้อมกับความท้าทายในยุคปัจจุบันและเติบโตไปในทางที่ดีขึ้น
————————————————————
ที่มา
- Claudia Sheinbaum (https://claudiasheinbaumpardo.mx/)
- Business Coordinating Council (https://www.comce.org.mx/)