จากรายงานสถิติประจำปี 2024 ของสำนักงานสถิติเช็ก (Czech Statistical Office : CZSO) มาตรฐานการครองชีพของสาธารณรัฐเช็กใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของสหภาพยุโรปเมื่อปีที่ผ่านมา โดยอยู่ที่ร้อยละ 91 ของ GDP ต่อหัวของสหภาพยุโรป การเพิ่มขึ้นดังกล่าวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จากปีก่อน ทำให้สาธารณรัฐเช็กมีมาตรฐานการครองชีพสูงที่สุดเทียบเคียงกับสโลวีเนียในกลุ่มประเทศ Visegrad (สาธารณรัฐเช็ก สโลวาเกีย โปแลนด์ และฮังการี) สำหรับประเทศลักเซมเบิร์กมี GDP ต่อหัวสูงสุดที่ร้อยละ 234 ของค่าเฉลี่ยของสหภาพยุโรป ในขณะที่บัลแกเรียอยู่ในอันดับต่ำสุดที่ร้อยละ 64 ในบรรดาประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปที่เข้าร่วมตั้งแต่ปี 2004 มอลตามีค่าเฉลี่ยมากกว่าสหภาพยุโรปที่ร้อยละ 105 ตามมาด้วยไซปรัสที่ร้อยละ 95 และสาธารณรัฐเช็กและสโลวีเนียที่เท่ากันที่อันดับสาม ทั้งนี้ มาตรฐานการครองชีพวัดจาก 1) ความเท่าเทียมกันของกำลังซื้อ (Purchasing Power Standards: PPS) วัดและเปรียบเทียบประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ โดยคำนึงถึงค่าครองชีพและระดับราคาในแต่ละประเทศ 2) ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) จะถูกปรับเพื่อให้เป็นหน่วยสกุลเงินเดียวกันเพื่อให้มีกำลังซื้อเท่ากันในทุกประเทศ ซึ่งจะช่วยเปรียบเทียบว่าคนในประเทศต่างๆ สามารถซื้ออะไรได้ตามความจริงด้วยรายได้ของพวกเขา ตัวอย่างเช่น หากขนมปังหนึ่งก้อนมีราคา 1 ยูโรในประเทศหนึ่งและ 2 ยูโรในอีกประเทศหนึ่ง PPS จะปรับตามความแตกต่างนี้ ทำให้ตัวเลขทางเศรษฐกิจเปรียบเทียบกันได้มากขึ้นในแง่ของความสามารถในการซื้อในโลกแห่งความเป็นจริง สำหรับสาธารณรัฐเช็ก การปรับ PPS แสดงให้เห็นว่ามาตรฐานการครองชีพของสาธารณรัฐเช็กอยู่ที่ร้อยละ 91 ของค่าเฉลี่ยของสหภาพยุโรป ซึ่งหมายความว่าสภาพเศรษฐกิจใกล้เคียงกับประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปที่ร่ำรวยกว่า แม้ว่ารายได้สุทธิอาจดูเหมือนต่ำกว่าก็ตาม ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสาธารณรัฐเช็กสามารถแซงหน้าประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปอื่น อาทิเช่น สเปน (ร้อยละ 88) โปรตุเกส (ร้อยละ 83) และกรีซ (ร้อยละ 67) นอกจากนี้ สาธารณรัฐเช็กยังคงมีอัตราการว่างงานต่ำที่สุดในสหภาพยุโรปที่ร้อยละ 2.6 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของสหภาพยุโรปที่ร้อยละ 6.7 โปแลนด์มีอัตราการว่างงานต่ำเป็นอันดับสองที่ร้อยละ 2.8 ในขณะที่สเปนมีอัตราสูงสุดที่ร้อยละ 12.2 ในแง่ของอัตราการว่างงานระยะยาว อัตราการว่างงานของสาธารณรัฐเช็กอยู่ที่ร้อยละ 0.8 ตามหลังเดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ (ทั้งสองประเทศอยู่ที่ร้อยละ 0.5) และมอลตา (ร้อยละ 0.7) กรีซรายงานอัตราการว่างงานระยะยาวสูงสุดที่ร้อยละ 6.2 โดยค่าเฉลี่ยของสหภาพยุโรปอยู่ที่ร้อยละ 2.1 แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่ามาตรฐานการครองชีพจะเพิ่มขึ้นและอัตราการว่างงานลดลง แต่เศรษฐกิจของสาธารณรัฐเช็กกลับหดตัวร้อยละ 0.3 เมื่อปีที่ผ่านมาทำให้สาธารณรัฐเช็กเป็นประเทศ 1 ใน 11 ประเทศในสหภาพยุโรปที่ประสบปัญหา GDP ลดลง ไอร์แลนด์และเอสโตเนียเผชิญกับภาวะตกต่ำรุนแรงที่สุดที่ร้อยละ 3.2 และร้อยละ 3 ตามลำดับ ในขณะเดียวกันมอลตามีการเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วที่สุดที่ร้อยละ 5.7 รองลงมาคือโครเอเชียที่ร้อยละ 3.1 โดยรวมแล้ว GDP ของสหภาพยุโรปเติบโตร้อยละ 0.5
นอกจากนี้ ตามรายงานของหอการค้าเช็ก บริษัท 2 ใน 3 แห่ง วางแผนที่จะปรับขึ้นค่าจ้าง โดยประมาณร้อยละ 32 ของบริษัทคาดว่าจะปรับขึ้นเงินเดือนมากกว่าร้อยละ 5 เนื่องจากตลาดแรงงานยังคงตึงตัว ทำให้พนักงานอยู่ในสถานะที่สามารถต่อรองได้อย่างแข็งแกร่ง โดยในปี 2024 พนักงานชาวเช็กครึ่งหนึ่งได้รับการปรับขึ้นเงินเดือน โดยส่วนใหญ่ได้รับเงินเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 5,000 เช็กคราวน์ต่อเดือน อย่างไรก็ตาม มีเพียงร้อยละ 15 ของพนักงานเท่านั้นที่พอใจกับการปรับขึ้นเงินเดือน โดยส่วนใหญ่หวังว่าจะได้รับเงินเพิ่มมากกว่านี้ ทั้งนี้ ค่าจ้างเฉลี่ยในสาธารณรัฐเช็กเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เป็น 45,412 เช็กคราวน์ต่อเดือนในไตรมาสที่ 3 ของปี แต่เมื่อคำนึงถึงเงินเฟ้อแล้ว ค่าจ้างจริงเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 ซึ่งถือเป็นการเติบโตในไตรมาสที่สามติดต่อกัน อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นนี้ยังไม่สามารถชดเชยการลดลงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เมื่อประเทศเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป แต่เมื่อมองไปข้างหน้าถึงปี 2025 คาดว่าค่าจ้างในภาคเอกชนจะเติบโตขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 4.5 ตำแหน่งปฏิบัติการทางเทคนิคและผู้เชี่ยวชาญคาดว่าจะได้รับการปรับขึ้นเงินเดือนสูงสุดที่ร้อยละ 4.7 และร้อยละ 4.6 ตามลำดับ ในขณะที่ผู้บริหารระดับสูงจะได้รับการปรับขึ้นเงินเดือนน้อยที่สุดที่ร้อยละ 4.1
ตามข้อมูลของ Eurostat อัตราเงินเฟ้อเดือนพฤศจิกายน 2024 พบว่าสหภาพยุโรปอัตราเงินเฟ้อพุ่งแตะระดับร้อยละ 2.5 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.3 ในเดือนตุลาคม 2024 ในส่วนของสาธารณรัฐเช็กยังคงประสบกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อพุ่งแตะระดับร้อยละ 3.1 จากร้อยละ 3 ในเดือนตุลาคม 2024 สำหรับประเทศอื่นๆ ในสหภาพยุโรป ไอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำที่สุดที่ร้อยละ 0.5 รองลงมาคือลิทัวเนียและลักเซมเบิร์กที่ร้อยละ 1.1 ฝั่งประเทศที่อัตราเงินเฟ้อสูง ได้แก่ โรมาเนีย ร้อยละ 5.4 รองลงมาคือเบลเยียม ร้อยละ 4.8 และโครเอเชีย ร้อยละ 4 โดยภาคบริการเป็นปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนอัตราเงินเฟ้อใน Eurozone โดยมีส่วนสนับสนุนร้อยละ 1.74 ของอัตราเงินเฟ้อโดยรวม อาหาร เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และยาสูบเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.53 ในขณะที่ราคาพลังงานมีผลทำให้เกิดภาวะเงินฝืด โดยลดลงร้อยละ 0.19
ข้อคิดเห็น/เสนอแนะของ สคต.
จากรายงานของ SCB EIC ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลกปี 2025 เหลือร้อยละ 2.5 (เดิมร้อยละ 2.8) และประมาณการเศรษฐกิจยุโรปจะเติบโตเพียงร้อยละ 0.6 ดังนั้น สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของยุโรป รวมถึงสาธารณรัฐเช็ก ยังมีความไม่แน่นอนจากหลายปัจจัยทั้งนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ (Trump 2.0) การกีดกันการค้าที่อาจจะรุนแรงขึ้น ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และการเมืองในบางประเทศโดยเฉพาะเยอรมนี ฝรั่งเศส อาจเป็นความเสี่ยงสำคัญที่จะทำให้แนวทางการรับมือของภาครัฐขาดประสิทธิภาพ ประกอบกับเยอรมนีและฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในคู่ค้าที่สำคัญของเช็ก จึงอาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเช็กในอนาคต เป็นต้น ดังนั้นผู้ประกอบการไทยควรติดตามความเคลื่อนไหวด้านการค้าระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิดเพื่อสามารถปรับตัวได้ทันตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในอนาคต ทั้งนี้ ปี 2566 สาธารณรัฐเช็ก นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ คิดเป็นมูลค่า 237,563 ล้านเหรียญสหรัฐ จากประเทศเยอรมนี จีน โปแลนด์ สโลวาเกีย เนเธอร์แลนด์ อิตาลี ออสเตรเลีย ฮังการี ฝรั่งเศส และเบลเยียม ตามลำดับ โดยนำเข้าจากประเทศไทย คิดเป็นมูลค่า 1,159 ล้านเหรียญสหรัฐ