สรุป 10 เหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจของเม็กซิโกในปี 2024

ปี 2024 ที่ผ่านมามีความเคลื่อนไหวสำคัญในสหรัฐเม็กซิโก ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ การค้าและ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจในปี 2025 ทั้งในเม็กซิโกและในระดับภูมิภาค

  1. การแต่งตั้งนาง คลอเดีย เชนบาม เป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของเม็กซิโก เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2024 นางคลอเดีย เชนบาม ปาร์โด (Claudia Sheinbaum Pardo) ชนะการเลือกตั้ง ประธานาธิบดีของประเทศ ด้วยคะแนนเสียง 35.9 ล้านเสียง คิดเป็น 59.75% ของจำนวนผู้ลงคะแนนทั้งหมด นับเป็นการชนะการเลือกตั้งแบบ landslide และ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2024 นางคลอเดีย เชนบาม ได้สาบานตนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ขึ้นเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของประเทศสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่แห่งการเมืองเม็กซิโก
  1. FDI สูงเป็นประวัติการณ์ แม้ว่าตัวเลขการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) ในปี 2024 จะยังไม่ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ แต่ข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงเศรษฐกิจเม็กซิโกระบุว่า ในปี 2024 เม็กซิโกมีแนวโน้มสร้างสถิติใหม่โดยในช่วงครึ่งปีแรก มีมูลค่าการลงทุนกว่า 31,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2023 สภาธุรกิจเพื่อการค้าต่างประเทศ (COMCE) คาดการณ์ว่า FDI ตลอดปี 2024 จะอยู่ที่ 38,410 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 6.5% จากปี 2023 และ FDI จะเติบโตต่อเนื่องในปี 2025 และ 2026 โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 48,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2026
  1. บริษัทต่างชาติเพิ่มการลงทุนโปรเจคใหญ่ เช่น

บริษัท Foxconn ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จากไต้หวัน ได้ประกาศสร้างโรงงานในเมือง Guadalajara รัฐ Jalisco เป็นสถานที่ประกอบ “Superchip” ให้กับบริษัท Nvidia ของสหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายเป็นโรงงานประกอบ GB200 Superchip ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

บริษัท Mexico Pacific Limited ประกาศการลงทุนเพิ่มเติม มีมูลค่าถึง 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในโครงการการผลิตและส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลว (Liquefied Natural Gas: LNG) โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมือง Puerto Libertad ในรัฐ Sonora

บริษัท Amazon Web Services (AWS) ในธุรกิจ Cloud Computing Business หรือ บริการที่ให้การจัดเก็บ ประมวลผล และจัดการข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต ประกาศถึงแผนการลงทุนกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสร้างกลุ่มศูนย์ข้อมูลในรัฐ Querétaro

บริษัทรถยนต์สัญชาติสวีเดน Volvo ประกาศว่าได้เลือกรัฐ Nuevo León เป็นสถานที่ตั้งโรงงานผลิตรถบรรทุกขนาดใหญ่แห่งใหม่ในอเมริกาเหนือ โดยมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

โครงการเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของโครงการอื่น ๆ อีกมากมาย ชี้ถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจของเม็กซิโก ทั้งในด้านการสร้างงานและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

  1. สหรัฐฯ และเม็กซิโกประกาศความร่วมมือพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในเม็กซิโกและบูรณาการระบบห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมนี้ในภูมิภาคอเมริกาเหนือ โดยในเดือนกรกฎาคม สหรัฐฯ ได้ประกาศโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับภูมิภาค และได้เปิดตัวแผนแม่บทสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในเม็กซิโก ระหว่างปี 2024 – 2030 ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขยายความสามารถทั้งในด้านการผลิต/ทดสอบ/จัดส่งชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ของภูมิภาคให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
  2. ความผันผวนของค่าเงินเปโซ ในช่วงต้นปี 2024 ค่าเงินเปโซเริ่มต้นในทิศทางที่ดี โดยในเดือนเมษายนสามารถแตะไปที่ 16.30 เปโซ ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นระดับที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบเกือบ 9 ปี อย่างไรก็ตาม ในวันประกาศผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีเม็กซิโก โดยนางคลอเดีย เชนบาม (Claudia Sheinbaum) ชนะการเลือกตั้ง ค่าเงินเปโซที่เคยซื้อขายอยู่ที่ 17 เปโซต่อดอลลาร์สหรัฐ ลดลงไปอยู่ที่ 19 เปโซต่อดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ภายหลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ส่งผลให้เงินเปโซอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วจนแตะระดับ 21 เปโซต่อดอลลาร์สหรัฐทันที
  1. ความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนกับจีน การหลั่งไหลของสินค้านำเข้าจากจีนส่งผลกระทบต่อตลาดผู้บริโภคในเม็กซิโก โดยในปี 2024 จีน เป็นแหล่งนำเข้าสินค้า อันดับที่ 2 รองจากสหรัฐฯ ทั้งนี้ หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดก็คือ อุตสาหกรรมยานยนต์จีนที่เข้ามามีบทบาทในตลาดเม็กซิโกอย่างรวดเร็ว ซึ่งหากความต้องการรถยนต์จากจีนยังคงเพิ่มขึ้น จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ของเม็กซิโกและสหรัฐอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้ ผู้ผลิตรถยนต์จีน เช่น BYD ได้ประกาศแผนการตั้งโรงงานผลิตในเม็กซิโกอีกด้วย ซึ่งการลงทุนดังกล่าวจะนำมาซึ่งประโยชน์หลายด้านไม่ว่าจะเป็นการสร้างงานและการพัฒนาอุตสาหกรรมในท้องถิ่น แต่ในขณะเดียวกัน อาจสร้างปัญหาในความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างเม็กซิโกกับสหรัฐอเมริกาและแคนาดาได้ ดังนั้น รัฐบาลเม็กซิโกต้องสร้างความสมดุลระหว่างประโยชน์จากการลงทุนจากจีนและความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอเมริกาเหนือ โดยในเดือนธันวาคมที่ผ่านมารัฐบาลเม็กซิโกได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าในกลุ่มสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ จีน เนื่องจากมีสัดส่วนกว่า 38% ของมูลค่าการนำเข้ารวมของเม็กซิโก
  1. โดนัลด์ ทรัมป์ ขู่เพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโก โดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษี 200% สำหรับรถยนต์ที่ผลิตในเม็กซิโกโดยบริษัทจีน นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังได้ประกาศเพิ่มเติมว่าจะเก็บภาษีสำหรับรถยนต์ทุกคันที่ผลิตในเม็กซิโก แม้แต่รถยนต์ที่ผลิตโดยบริษัทสัญชาติอเมริกันเองก็ตาม นอกจากนี้ ยังได้ประกาศจะเก็บภาษี 25% สำหรับสินค้าส่งออกทั้งหมดของเม็กซิโกไปยังสหรัฐฯ โดยอ้างว่าเม็กซิโกไม่จริงจังมากพอในการดำเนินการเพื่อควบคุมผู้อพยพและการลักลอบนำเข้ายาเสพติด ทั้งนี้ ประธานาธิบดี คลอเดีย เชนบาม ของเม็กซิโกได้ประกาศ จะตอบโต้ด้วยมาตรการเดียวกันหากสหรัฐฯ ดำเนินมาตรการทางภาษีกับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก โดยรัฐบาลเม็กซิโกชี้ว่าผู้เสียหายหลักจากนโยบายดังกล่าวจะเป็นธุรกิจและผู้บริโภคในสหรัฐฯ เอง
  1. ความสัมพันธ์ของเม็กซิโกใน USMCA แคนาดาได้แสดงความกังวลต่อการลงทุนจากจีนในเม็กซิโก และถึงขั้นเสนอให้ยุติข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (USMCA) โดยเชื่อว่าเม็กซิโกเปิดรับการลงทุนจากจีนมากเกินไป ซึ่งในขณะเดียวกัน โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ไม่สนับสนุนการตั้งโรงงานของจีนใกล้ชายแดนสหรัฐฯ เช่นกัน แม้ว่าการยุติข้อตกลง USMCA ดูเหมือนจะไม่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ แต่ข้อตกลงดังกล่าวจะถูกทบทวน ในปี 2026 ซึ่งรัฐบาลเม็กซิโกเองก็ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า สิ่งสำคัญอันดับแรกคือ การเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอเมริกาเหนือ แต่ไม่ได้ปิดกั้นการค้ากับจีนอย่างสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม เม็กซิโกกำลังพยายามลดการพึ่งพาการนำเข้าสินค้าจากจีนซึ่งจะต้องเพิ่มความสามารถในการผลิตภายในประเทศหรือทดแทนการนำเข้าสินค้าจากแหล่งอื่น

9. ธนาคารกลางเม็กซิโกปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อคุมเงินเฟ้อ ในช่วงต้นปี 2024 อัตราดอกเบี้ยมาตรฐานของธนาคารกลางเม็กซิโก (Bank of Mexico) อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 11.25% โดยอัตรานี้ถูกกำหนดในเดือนมีนาคม 2023 หลังจากช่วงเวลาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนาน 21 เดือน เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่สูง อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 5 ครั้งในปี 2024 ทำให้อัตราดอกเบี้ยเหลือ 10% ซึ่งยังคงสูงในระดับที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ธนาคารกลางอาจจะลงมติเพื่อปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ในปี 2025

10. เศรษฐกิจในเม็กซิโกปี 2024 ชะลอตัว ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติเม็กซิโก (INEGI) แสดงให้เห็นว่า GDP ของเม็กซิโกในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2024 เติบโตเพียง 1.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า รัฐบาลหวังว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจะเพิ่มขึ้นผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น แผนพัฒนาเขตอุตสาหกรรมใหม่จำนวน 10 เขต ซึ่งครอบคลุม 32 รัฐของเม็กซิโก อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวในปีนี้ ตลาดแรงงานในเม็กซิโกยังคงแข็งแกร่ง โดยอัตราการว่างงานในเดือนตุลาคมอยู่ที่ 2.5%

โอกาสของไทยในตลาดเม็กซิโก จากความเคลื่อนไหวในด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนของเม็กซิโกในปี 2024 ไทยสามารถมองเห็นโอกาสในการเติบโตในตลาดเม็กซิโกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกสินค้าที่ สนับสนุนนโยบายของรัฐบาลเม็กซิโกที่ต้องการรักษาความสัมพันธ์กับประเทศในภูมิภาคอเมริกาเหนือและลดการพึ่งพาการนำเข้าสินค้าจากจีน ดังนั้น จึงเป็นโอกาสให้สินค้าไทยที่มีคุณภาพสูงเข้าสู่ตลาดเม็กซิโกได้มากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าที่เม็กซิโกเคยนำเข้าจากจีนในสัดส่วนที่สูงและไทยมีศักยภาพในการส่งออก เช่น รถยนต์และอะไหล่ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ยาง สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น นอกจากนี้แล้ว ไทยสามารถใช้โอกาสนี้ในการเจาะตลาดสินค้าที่โดดเด่น มีเอกลักษณ์ความเป็นไทย เช่น สินค้าอาหาร ของตกแต่งบ้าน และเครื่องประดับ เป็นต้น

——————————————————————

ที่มา

de_DEGerman