เนื้อหาสาระข่าว: รายงานแนวโน้มผู้บริโภคซึ่งจัดทำโดย Jungle Scout ชี้ว่าเกือบหนึ่งในสามของผู้บริโภคสหรัฐฯ ลดการใช้จ่ายผ่านระบบออนไลน์ลงในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2024 และได้วิเคราะห์เชิงลึกถึงพฤติกรรมการจับจ่ายของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ว่าซื้อที่ไหนและอย่างไรไว้ดังนี้
- นักช้อปที่ซื้อจาก Amazon ใช้ราคากระตุ้นได้ดี
สถิติที่น่าสนใจ: นักช้อป ถึงร้อยละ 71 ที่มองหาสินค้าราคาถูกที่สุดเมื่อหาซื้อสินค้าต้องการจะซื้อบนแพลตฟอร์มของ Amazon
บทวิเคราะห์: ผู้บริโภคมีความอ่อนไหวต่อราคาสินค้าและผู้ค้าปลีกที่ช่วยให้เขาพบกับข้อเสนอที่ดีที่สุดจะเป็นผู้ชนะ
-
- แม้ว่าจะมีผู้บริโภคถึงร้อยละ 79 ยืนยันว่าภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นนั้นส่งผลกระทบต่อการจับจ่ายของพวกเขาในช่วงไตรมาสที่ 1 ก็ตาม แต่ยอดขายของ Amazon ยังเพิ่มสูงขึ้นใน 14 หมวดจากทั้งหมดที่มี 24 หมวดสินค้า
- คุณภาพของสินค้ายังคงมีความสำคัญสำหรับนักช้อปที่ซื้อจาก Amazon โดยร้อยละ 64 กล่าวว่าสินค้าที่มีคะแนนและได้รับคำแนะนำของผู้ซื้ออื่นว่าดีที่สุดมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อ และมีร้อยละ 60 ที่รับว่าสินค้าที่ได้รับคะแนนดีๆ และมีคำแนะนำของผู้ซื้อพร้อมภาพหรือคลิปประกอบมีผลในการตัดสินใจซื้อของตน
- ผู้บริโภคนิยมหาสินค้าที่จะซื้อบน Amazon มากกว่าเว็บค้นข้อมูล (Search Engine)
สถิติที่น่าสนใจ: มีผู้บริโภคถึงกว่าครึ่งหนึ่ง (56%) เริ่มการจับจ่ายด้วยการค้นหาบนแพลตฟอร์มของ Amazon และประมาณร้อยละ 42 ของผู้บริโภคที่เริ่มต้นการจับจ่ายด้วยการหาสินค้าบนเว็บสืบค้นข้อมูล
คำอธิบาย: เจ้าของแบรนด์ควรขยายขอบเขตของการลงโฆษณาไปหลายๆ ช่องทาง
-
- ผู้บริโภคยังคงนิยมใช้แพลตฟอร์มค้าปลีกออนไลน์อย่าง com (29%), YouTube (13%) และ Target.com (11%) ในการค้นหาสินค้าที่ต้องการจับจ่าย
- ผู้บริโภครุ่น Gen X (อายุ 44-59 ปี) และ Baby Boomer (อายุ 60-78 ปี) มักจะเริ่มหาสินค้าที่ต้องการบน Amazon หรือเว็บค้นข้อมูลเป็นหลัก ในขณะที่กลุ่ม Gen Z (อายุ 12-27 ปี) จะนิยมเริ่มค้นบน YouTube หรือ TikTok ก่อนมากกว่า
- Walmart กำลังเสียส่วนแบ่งตลาดการค้าออนไลน์
สถิติที่น่าสนใจ: ผู้บริโภคที่ซื้อของจาก Walmart.com ลดลงถึงร้อยละ 15 ในช่วงไตรมาสที่ 1รวมแล้วมีเพียงกว่าหนึ่งในสี่ของผู้บริโภค (28%) เท่านั้นที่ยังใช้อยู่
คำอธิบาย: แม้ Walmart จะเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นร้านค้าปลีกที่ได้รับความนิยมสูงสุด แต่ในเชิงการค้าออนไลน์ยังอยู่ในลำดับตามหลัง Amazon อยู่อีกไกล
-
- Walmart ยังต้องเผชิญกับการแข่งขันรุนแรงจากทั้ง eBay, Temu และ com ซึ่งต่างก็ติดอันดับแพลตฟอร์มค้าปลีกออนไลน์ยอดนิยมในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2024
- แต่ Walmart.com ก็ยังคงเป็นแพลตฟอร์มค้าปลีกออนไลน์ยอดนิยมลำดับที่ 2 (ตามหลังเพียงแค่ Amazon เท่านั้น) คาดว่าในปีนี้จะกวาดยอดขายผ่านระบบออนไลน์รวม 83.18 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
- ความสำเร็จของ TikTok Shop มาจากการผสมผสานความบันเทิงเข้ากับการค้า
สถิติที่น่าสนใจ: มีผู้บริโภคถึงกว่าหนึ่งในสาม (35%) ที่หาหรือซื้อสินค้าบนแพลตฟอร์ม TikTok Shop อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
คำอธิบาย: ความพยายามด้านการค้าออนไลน์ของ TikTok เริ่มประสบความสำเร็จ
-
- มีผู้บริโภคเกือบหนึ่งในสี่ที่ซื้อของโดยตรงจากแพลตฟอร์มของ TikTok
- เหตุผลหลักที่ผู้บริโภคค้นและซื้อบนแพลตฟอร์มของ TikTok Shop ก็เพราะชอบที่มักจะได้พบเห็นสินค้าแปลกๆ ใหม่ๆ เสมอๆ
- เหตุผลอื่นๆ ได้แก่ ความสะดวก/ใช้งานง่าย ราคาดี/ส่วนลด การมีส่วนร่วมกับเนื้อหา/ผู้สร้างเนื้อหา และเป็นการสนับสนุนผู้ค้ารายย่อย
- การลงทุนกับ AR (Augmented Reality) ของ Amazon เริ่มได้ผล
สถิติที่น่าสนใจ: มีร้อยละ 31 ของผู้บริโภคที่เคยใช้งานระบบ View in Your Room AR ของ Amazon (เป็นระบบที่เปิดให้ผู้ใช้งานสามารถจัดวางสินค้า เช่น เฟอร์นิเจอร์ ในสภาพแวดล้อมที่เหมือนจริงได้) แล้วกล่าวว่าระบบดังกล่าวของ Amazon สามารถจูงใจให้ซื้อสินค้าบางอย่างที่ปกติตนจะต้องไปเลือกซื้อที่ร้านด้วยตนเองเท่านั้น
คำอธิบาย: ระบบความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality – AR) อาจเป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับผู้ค้าปลีกออนไลน์ ในการจูงใจให้ผู้ซื้อที่นิยมเดินซื้อของตามร้านค้าสามารถตัดสินใจซื้อออนไลน์ได้
-
- มีประมาณหนึ่งในสี่ของผู้บริโภคที่รู้จักระบบ View in Your Room ของ Amazon และมีถึงกว่าครึ่งหนึ่ง (54%) ของผู้ที่รู้จักระบบนี้ที่มักใช้ระบบนี้เป็นครั้งคราวในการจับจ่าย
- ไม่ได้มีเพียง Amazon เท่านั้นที่ได้ทดลองใช้เทคโนโลยี AR นี้ ทั้ง Walmart, Google และ Ikea ก็ได้เปิดตัวเครื่องมือระบบ AR ให้ลูกค้าของตนใช้เพื่อให้เห็นสภาพสินค้าในชีวิตจริงด้วยเช่นกัน
บทวิเคราะห์: ยุครุ่งเรืองของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ดูเหมือนจะกำลังถูกท้าทายด้วยคู่ปรับเก่า คือการจับจ่ายตามร้านค้าด้วยตนเองไปบ้างแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปทุกรายการ ในบางหมวดสินค้าการจับจ่ายผ่านระบบออนไลน์กลายเป็นปกติวิสัยในการจับจ่ายไปแล้ว โดยเฉพาะของที่มีมาตรฐานแน่นอน ซึ่งต้องแข่งขันกันด้วยราคา เพราะการจับจ่ายผ่านระบบออนไลน์นั้นเทียบราคาจากหลายๆ แหล่งได้ทันที แถมยังมีผู้ให้บริการบางรายถึงกับสร้างระบบเพื่อดึงข้อมูลราคาสินค้าบางหมวดจากทั่วทั้งตลาดมาเทียบให้ดูกันเลย หันกลับมาดูรายละเอียดของรายงานที่นำมาเสนอนี้ ก็พอจะสรุปความเป็นไปในโลกพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในตลาดสหรัฐฯ ได้คร่าวๆ ดังนี้
-
- การแข่งขันด้วยราคาจะรุนแรงยิ่งขึ้นในกลุ่มสินค้าที่มีมาตรฐานเหมือนๆ กัน แม้จะจำหน่ายบนแพลตฟอร์มเดียวกัน ก็จะถูกแย่งจากคู่แข่งที่ราคาดีกว่าได้แบบฉับพลันทันใด
- ผู้บริโภคนิยมหาสินค้าที่ต้องการจากที่ๆ จำหน่ายสินค้ามากกว่าหาจาก Search Engine
- คุณภาพของสินค้านั้นสำคัญ โดยพิจารณาจากคะแนนและคำแนะนำของผู้ซื้อรายก่อนๆ
- ผู้ที่ใช้งานแพลตฟอร์มเพื่อจับจ่ายที่ต่างกลุ่มกัน นิยมใช้แพลตฟอร์มที่ต่างกันไป
- แพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้นั้นสำคัญ การส่งของเร็ว ส่งของฟรี การเปลี่ยน/คืนสินค้าฟรี ที่แพลตฟอร์มใหญ่ๆ ทำได้นั้นสร้างความเชื่อถือและเพิ่มความนิยมได้
- ประสบการณ์ในการจับจ่ายนั้นสำคัญ โดยเฉพาะกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ การผสมผสานความบันเทิงเข้ากับการจำหน่ายสินค้าได้ผลกับกลุ่มนี้มาก
- จุดแข็งที่ทำให้การซื้อออนไลน์น่าดึงดูดใจที่สุด คือ การใช้งานง่ายและความสะดวกต่างๆ
- ผู้ค้าปลีกผ่านระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิคส์จำเป็นต้องเข้าใจพฤติกรรมการซื้อของผู้ซื้อและต้องคอยพิจารณาปรับปรุงประสบการณ์ในการจับจ่ายให้สามารถกำจัดอุปสรรคในการตัดสินใจซื้ออย่างรวดเร็วให้ได้
ข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ: หากสังเกตกันให้ดีจะพบว่าทุกแพลตฟอร์มของบริการที่มีอยู่ในโลกออนไลน์ในที่สุดก็จะเสริมระบบที่อำนวยความสะดวกในการทำพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เข้าไปกันแทบทั้งสิ้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ก็น่าแปลกใจที่ผู้บริโภคกลับรับได้และปรับตัวตามกันไป ทั้งที่ระบบสืบค้นข้อมูลออนไลน์ (Search Engine) ก็ควรจะสืบค้นข้อมูล แต่ทุกวันนี้ หากผู้ใช้หาคำอะไรก็ตามหากพอจะตรงกับประเภทสินค้าเท่านั้น ก็มีสินค้าประเภทเหล่านั้นพร้อมราคาขึ้นมาให้ทันที ทั้งๆ ที่อาจจะไม่ได้กำลังหาซื้อแต่จะหาข้อมูลมาเพื่อการอื่นก็ตาม ซึ่งอาจสร้างความรำคาญให้อยู่ไม่น้อย แต่ก็เชื่อว่าเมื่อมีการนำ AI (Artificial Intelligence) มาช่วยเสริมสติให้ Search Engine การค้นหาข้อมูลก็น่าจะถูกรบกวนโดยการยัดเยียดโฆษณา ผ่านกระบวนการ Search Engine Optimization (SEO) น้อยลงไปได้บ้าง
การค้าผ่านระบบออนไลน์จะประสบความสำเร็จได้นั้น มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าใจพฤติกรรมในการใช้สื่อออนไลน์ การตัดสินใจซื้อ และจะต้องเข้าถึงให้ถูกเวลาด้วย ทั้งนี้สื่อสังคมออนไลน์มากมายหลายแพลตฟอร์มต่างก็พากันศึกษาหาวิธีช่วยเอื้อให้ผู้ค้าปลีกสามารถค้าขายผ่านแพลตฟอร์มของตนมากขึ้นอยู่แล้ว ส่วนในฝั่งผู้ค้าปลีกเองนั้น ก็ควรจะต้องทราบให้ชัดเจนก่อนว่าลูกค้าเป้าหมายของตนคือผู้บริโภคกลุ่มไหน มีพฤติกรรมการซื้อสินค้าในหมวดของสินค้าของตนอย่างไรก่อน และเมื่อรู้จักลูกค้าเป้าหมายดีพอแล้ว การจะเลือกแพลตฟอร์มที่เข้าถึงได้ รวมถึงการเลือกใช้เครื่องมือต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกออนไลน์ในทุกวันนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว แต่จะอย่างไรก็ต้องใช้เวลาศึกษาวิธีใช้เพื่อให้สามารถได้ประโยชน์สูงสุดด้วย ดังในรายงานที่ชี้ว่า คน Gen X, Baby Boomer และ Gen Z นั้นไม่ได้ใช้แพลตฟอร์มเดียวกัน จึงไม่ควรเหมารวมเอาว่า ถ้าใช้แพลตฟอร์มออนไลน์แล้วก็จะต้องสำเร็จเสมอไป การค้าออนไลน์นั้น จะต่างจากตลาดทั่วๆ ไป พอจะเทียบได้ว่าเป็นเกมแบบเลือกยิงเป้า กรอบความคิดในการโฆษณาสินค้าแบบคลุมๆ ฐานกว้างๆ นั้นไม่เพียงแต่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ยากเท่านั้น แต่ยังมีกลุ่มที่ไม่ใช่เป้าหมายอีกจำนวนมากที่จะได้รับสื่อไปด้วยแล้วอาจมองได้ว่าคือการสูญเปล่าด้วย ระบบ เครื่องมือ และแพลตฟอร์มต่างๆ นั้นมีกลไกหลายๆ อย่างที่ช่วยชี้เป้าให้มากอยู่แล้ว หากศึกษาให้ดี ก็จะใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเข้าถึงเป้าหมายได้แบบถึงปลายนิ้วในขณะที่กำลังจะกดเพื่อสั่งซื้อกันเลย
อีกเรื่องที่ เห็นชัดเจนว่าผู้ค้าปลีกออนไลน์ยังคงทุ่มเทความพยายามจะแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดจากผู้ค้าปลีกตามร้านค้า นั่นก็คือกระบวนการวัดขนาด คลิปสาธิตการใช้งานเบื้องต้น ตลอดไปจนถึงการพัฒนาเอาเทคโนโลยี ความเป็นจริงเสมือน (Virtual Reality) และความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality) ใช้ช่วยให้ผู้บริโภคที่กำลังอยากได้สินค้าแล้ว จินตนาการไม่ออกว่า สินค้าที่ตนจะซื้อจะลงตัวกับพื้นที่ในบ้านที่เตรียมไว้หรือไม่ ก็สามารถลองจัดวางกันได้เต็มที่ มีอุปสรรคในการใช้จ่ายลดลงไปอีกเปลาะหนึ่ง ผู้ค้าปลีกที่เคยชินกับการขายในร้าน แล้วตั้งใจจะหันมาเอาดีผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น จำเป็นจะต้องเข้าใจด้วยว่า ผู้ซื้อสินค้าของตนนั้น หากไม่ได้มาอยู่ที่ร้านแล้ว เวลาตัดสินใจซื้อสินค้าในประเภทที่ตนขายนั้น มีกระบวนการอย่างไร ต้องการทำอะไรบ้างแล้วถึงจะวางใจ ยอมสั่งซื้อทันทีได้ โจทย์นี้ จะต้องนำมาพิจารณาและหาคำตอบให้ได้ด้วย
*********************************************************
ที่มา: EMARKETER Subject: “5 key stats: How consumers shopped Amazon, Walmart, and TikTok Shop in Q1” โดย: Arielle Feger สคต. ไมอามี /วันที่ 17 เมษายน 2567