หลังจากการเยือนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ทบทวนการคาดการณ์ GDP สำหรับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) โดยองค์กรเชื่อว่าการเติบโตจะยังคงแข็งแกร่งอยู่ที่ประมาณ 4%
นาย Ali Al Eyd ที่ปรึกษาและหัวหน้าคณะผู้แทน IMF ซึ่งนำทีมเยือนยูเออีล่าสุด กล่าวว่าการเติบโตในระยะสั้นยังคงแข็งแกร่งและคาดว่าจะยังคงแข็งแกร่งที่ประมาณ 4% ในปี 2568 แม้ว่าการผลิตน้ำมันจะต่ำกว่า ที่คาดการณ์ไว้เนื่องจากข้อตกลง OPEC+ โดยมีกิจกรรมที่ไม่ใช่ไฮโดรคาร์บอนได้รับแรงหนุนจาก การท่องเที่ยว การก่อสร้าง การใช้จ่ายภาครัฐ และการเติบโตอย่างต่อเนื่องในภาคบริการทางการเงิน
แม้การคาดการณ์ก่อนหน้านี้จะสูงกว่าเล็กน้อย แต่นาย Al Eyd ได้ให้ความเห็นในเชิงบวกเกี่ยวกับเศรษฐกิจของยูเออีในปีนี้ว่า อัตราเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ประมาณ 2% แม้ต้นทุนที่อยู่อาศัยและสาธารณูปโภคจะเพิ่มสูงขึ้น พร้อมชื่นชมความพยายามของประเทศในด้านการปฏิรูป โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างราบรื่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่องจะช่วยเพิ่มการท่องเที่ยวและกิจกรรมภายในประเทศ ขณะเดียวกันการเปิดเสรีทางการค้าภายใต้กรอบข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุม (CEPAs) จะช่วยกระตุ้นการค้าและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เพิ่มขึ้น
รายงานยังระบุถึงสถานะการคลังยูเออีที่แข็งแกร่ง โดยหนี้สาธารณะยังคงอยู่ในระดับประมาณ 30% ของ GDP และคาดว่าส่วนเกินบัญชีเดินสะพัดจะอยู่ที่ 7.5% ของ GDP นอกจากนี้ยังชี้ให้เห็นถึงทุนสำรองระหว่างประเทศที่แข็งแกร่งของประเทศซึ่งสามารถครอบคลุมการนำเข้าได้นานกว่า 8.5 เดือน
ภาคธนาคารของยูเออี ยังคงแสดงถึงความยืดหยุ่น โดยธนาคารยังคงมีเงินทุนสำรองที่ดีและ สภาพคล่องสูง คุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารดีขึ้นในปี 2567 ด้วยกิจกรรมภายในประเทศที่แข็งแกร่งและความต้องการสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น แม้อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับสูง
IMF ยังระบุถึงการลดความเสี่ยงของธนาคารในภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งลดลง 4 จุดร้อยละ มาอยู่ที่ 19.6% ระหว่างเดือนธันวาคม 2564 ถึงกันยายน 2567 อย่างไรก็ตาม กองทุนฯแนะนำให้ติดตามความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับราคาบ้านที่เพิ่มขึ้นอย่างใกล้ชิด
รายงานยังได้ยินดีต่อการพัฒนาที่ต่อเนื่องในกรอบการต่อต้านการฟอกเงิน (Anti-money Laundering : AML) และการต่อสู้กับการจัดหาเงินทุนเพื่อการก่อการร้าย (Combatting the financing of terrorism : CFT) ของยูเออี รวมถึงความก้าวหน้าภายใต้สภาเสถียรภาพทางการเงิน (Financial Stability Council) อีกทั้งได้แนะนำการควบคุมกำกับดูแลกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัล (crypto) ควรปรับให้เข้ากับการพัฒนาตลาด และยังสนับสนุนให้มีความโปร่งใสและการสื่อสารในกรอบนโยบายการเงิน เพื่อส่งเสริมการจัดการสภาพคล่องและการเติบโตของตลาดทุนภายในประเทศ
ทั้งนี้ การผลักดันกรอบการคลังระยะกลางจะช่วยสร้างความมั่นใจของการคลังประเทศเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนในระยะยาว และช่วยรับมือกับความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องในการปรับปรุงการรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลทางเศรษฐกิจจะช่วยเสริมสร้างความพยายามเหล่านี้
ความเห็นของธนาคาร
สอดคล้องกับรายงานของ Emirates NBD Research คาดว่า GDP ของรัฐดูไบปี 2568 จะเติบโต 3.7% โดยได้รับแรงหนุนจากงบประมาณรัฐบาลที่ขยายตัว ขณะที่ GDP ของยูเออีขยายตัว 3.6% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 โดยการเติบโตในไตรมาสที่ 2 เร่งขึ้นเป็น 3.9%
เศรษฐกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน (Non-oil) เติบโตสูงกว่าภาคน้ำมัน โดยขยายตัว 4.8% ในไตรมาสที่ 2 ขณะที่การจำกัดการผลิตน้ำมันของ OPEC+ ทำให้ภาคไฮโดรคาร์บอนเติบโตเพียง 1.2% การขยายตัวของ ภาคที่ไม่ใช่น้ำมัน ทำให้มีสัดส่วน 74.9% ของ GDP ในไตรมาสที่ 2 ซึ่งสะท้อนถึงความสำเร็จของการกระจายเศรษฐกิจ
ดูไบ มีอัตราการเติบโต 3.3% ในไตรมาสที่ 2 เพิ่มขึ้นจาก 3.2% ในไตรมาสแรก โดยมีแรงขับเคลื่อนจากหลายภาคส่วน ส่งผลให้เศรษฐกิจมีความยืดหยุ่นต่อปัจจัยภายนอก
ภาคขนส่งและโลจิสติกส์ เป็นปัจจัยหลักในการเติบโตของดูไบในไตรมาสที่ 2 โดยขยายตัว 7.8% และคิดเป็น 13.6% ของ GDP สนับสนุนเกือบ 1 ใน 3 ของการเติบโตทั้งหมด การเดินทางทางอากาศเติบโตต่อเนื่อง โดยมีจำนวนผู้โดยสารที่ ท่าอากาศยานดูไบ (DXB) เพิ่มขึ้น 8% ในช่วงครึ่งแรกของปี
ปริมาณขนส่งสินค้าที่ DXB และท่าเรือ Jebel Ali ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยท่าเรือจัดการตู้คอนเทนเนอร์ 7.3 ล้านตู้ ในครึ่งปีแรก (+3.9%) และสร้างสถิติใหม่ 1.4 ล้านตู้ ในเดือนกรกฎาคม แม้ว่าภาคขนส่งอาจเผชิญความเสี่ยงจากสงครามการค้า โดยเฉพาะเมื่อประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง ทั้งนี้ท่าเรือเจเบลอาลี ยังมีศักยภาพรองรับเส้นทางการค้าที่เปลี่ยนแปลง และการเติบโตของภาคการผลิตภายในประเทศ
ภาคการผลิต เติบโต 2.5% ในไตรมาสที่ 2 เพิ่มขึ้นจาก 1.6% ในไตรมาสก่อน และคิดเป็น 9.1% ของ GDP ด้วยแผนพัฒนา D33 Agenda คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง
ภาคการเดินทางทางอากาศ ตัวเลขทั่วโลกได้ฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำจากการระบาดของ ควิด-19 ไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ ทำให้การเปิดเมืองอีกครั้งยังคงต้องลุ้นกันต่อไป อย่างไรก็ตาม การเติบโตอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยวของดูไบน่าจะยังคงกระตุ้นความต้องการเดินทางทางอากาศต่อไป โดย นาย Paul Griffiths ซีอีโอของ Dubai Airports กล่าวว่าปัจจุบันดูไบเป็นจุดหมายปลายทางของผู้โดยสารคิดเป็น 60% เมื่อเทียบกับ 40% ก่อนเกิดการระบาด
ความเห็นของ สคต.ดูไบ
การเติบโตของโลจิสติกส์และอุตสาหกรรมการผลิตของดูไบ อาจเพิ่มความต้องการสินค้าไทยสร้างโอกาสในภาคการส่งออก การขยายตัวของท่าเรือ Jebel Ali จะช่วยทำให้ไทยส่งออกสินค้าไปตะวันออกกลางได้สะดวกขึ้น ส่วนข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจแบบครอบคลุม ( CEPA) ระหว่างไทยและยูเออี มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะมีผลต่อการส่งออกของไทย อาทิ ไทยจะได้ประโยชน์จากการ ลดภาษีศุลกากรหรือถูกยกเลิก ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดตะวันออกกลาง เพิ่มโอกาสในธุรกิจโลจิสติกส์และการส่งออกต่อ (Re-Export) จากการที่ยูเออีเป็นศูนย์กลางกระจายสินค้าของตะวันออกกลางและแอฟริกา ซึ่งสินค้าจากไทยสามารถใช้ยูเออี เป็นฐานกระจายสินค้าไปยังประเทศอื่น ๆ
ทั้งนี้ จากสถิติการค้าระหว่างไทยกับยูเออีล่าสุดพบว่า การเติบโตของการส่งออกในปี 2567 มีการขยายตัวอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าการค้ารวมที่ 20,689 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ขยายตัว 8.5%) การส่งออก มูลค่า 3,641 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ขยายตัว 9.8 %) และไทยนำเข้าจากยูเออีที่ 17,047 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ขยายตัว 8.3%)
—————————————