วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ประธานาธิบดี Donald Trump ได้ลงนามใน memorandum เสนอให้กำหนดอัตราภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐฯภายใต้นโยบาย Country-level Reciprocity by Country หรือ การกำหนดอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ด้วยการสร้างความเท่าเทียมในอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไปยังสหรัฐฯให้เท่าเทียมกับกับอัตราภาษีนำเข้าที่ประเทศคู่ค้ากำหนดใช้กับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ในลักษณะตาต่อตาฟันต่อฟัน
ผู้แทนการค้าสหรัฐฯระบุว่า ปัจจุบันอัตราเฉลี่ยของภาษีนำเข้าสหรัฐฯสำหรับสินค้าอุตสาหกรรม(รถยนต์ เสื้อผ้า น้ำมัน และอื่นๆ) อยู่ที่ร้อยละ 2 แต่ประมาณครึ่งหนึ่งของสินค้าเหล่านี้ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ขณะที่หลายประเทศคู่ค้าเก็บภาษีกับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ซึ่ง ประธานาธิบดี Trump ระบุว่าทำให้สหรัฐฯเสียเปรียบดุลการค้า
สรุปนโยบาย Country-Level Reciprocity ได้ดังนี้
- จะพิจารณาแต่ละตัวสินค้า (good-by-good basis) ไม่ใช่เป็นการกำหนดอัตราภาษีนำเข้าในลักษณะเหมารวม
- Country-level Reciprocal จะถูกนำไปใช้กับทุกประเทศคู่ค้าและทุกสินค้า หมายถึง ประเทศคู่ค้าและสินค้าสหรัฐฯที่ถูกประธานาธิบดี Trump ออกคำสั่งขึ้นอัตราภาษีไปแล้วเมื่อเร็วๆนี้ เช่น แคนาดา เม็กซิโก และจีน รวมถึงสินค้า เหล็กและอลูมิเนียม อัตราภาษี Country-Level Reciprocity นี้จะถูกนำไปเพิ่มกับอัตราภาษีใหม่ที่เพิ่งจะถูกสหรัฐฯกำหนดด้วยเช่นกัน
- ประเทศคู่ค้าที่จะตกเป็นเป้าหมายสำคัญ คือ
(1) ประเทศที่สหรัฐฯเสียดุลการค้าเป็นจำนวนมาก
(2) ประเทศที่เก็บอัตราภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯสูงกว่าอัตราภาษีที่สหรัฐฯกำหนดไว้กับสินค้าเดียวกันที่ประเทศนั้นๆส่งเข้าไปยังสหรัฐฯ
(3) ประเทศที่มีการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ประธานาธิบดี Trump แสดงความเห็นว่า ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นสิ่งที่รุนแรงกว่าอัตราภาษีนำเข้า
(4) ประเทศที่เป็นทางผ่าน (ประเทศที่ 3) ของการส่งสินค้าเข้าสู่สหรัฐฯ
(5) ประเทศที่มีปฏิบัติการ subsidies, nonmonetary tariffs และ trade barriers
คำสั่งในเรื่องนี้มีผลบังคับใช้ทันที ปัจจุบันยังไม่มีใครทราบว่าประเทศใดจะถูกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯจะเริ่มต้นทำการสอบสวนพิจารณาการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯของประเทศคู่ค้าต่างๆ โดยกำหนดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในวันที่ 1 เมษายน 2568 ก่อนนำเสนอประธานาธิบดี Trump เพื่อให้ตัดสินใจในวันที่ 2 เมษายน 2568 ต่อไป
นอกเหนือจากการออกคำสั่งขึ้นภาษีในลักษณะ Country-Level Reciprocity แล้ว ประธานาธิบดี Trump ยังคงเดินหน้าแผนการขึ้นภาษีนำเข้าทั่วกระดาน (across-the-board) กับสินค้านำเข้าสหรัฐฯทั้งหมด ผ่านทางการจัดทำร่างกฎหมาย Reciprocal Trade Act ส่งเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาสหรัฐฯเพื่อประกาศออกเป็นกฎหมาย
ข้อมูลเพิ่มเติมจาก สคต. ลอสแอนเจลิส
การขึ้นอัตราภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯอาจสร้างความเสียหายให้แก่เศรษฐกิจสหรัฐฯโดยรวม เศรษฐกิจจะเติบโตช้าลง อัตราเงินเฟ้อจะเลวร้ายมากยิ่งขึ้น รายงานล่าสุดของกระทรวงแรงงานสหรัฐฯระบุว่า ดัชนีราคาสินค้าผู้บริโภคในเดือนมกราคม 2568 เพิ่มสูงขึ้นในอัตราร้อยละ 3 และราคาค้าส่ง (wholesale price) ในระยะ 12 เดือนเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 ผู้บริโภคสหรัฐฯจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในการซื้อสินค้านำเข้า ที่เป็นผลมาจากผู้นำเข้าส่งต่อภาระทางการเงินและการตอบโต้ของประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯที่ถูกขึ้นภาษีนำเข้า ที่อาจจะหมายถึง การขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคและสาธารณูปโภคสำคัญต่อการดำรงชีวิต อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดี Trump กล่าวว่า โดยไม่มีคำอธิบายสนับสนุนคำกล่าวว่า คนอเมริกันอาจจะประสบปัญหาสินค้าแพงขึ้น แต่จะเป็นระยะเวลาในช่วงสั้นๆเท่านั้น
หมายเหตุ: ข่าวข้างบนนี้เป็นข้อมูลที่ได้มาจากแหล่งข้อมูลหลายแห่งที่จัดทำและนำเสนอข้อมูลเปิดเผยต่อสาธารณชนทั่วไป และบางส่วนเป็นความเห็นส่วนบุคคล สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอสแอนเจลิส นำมารวบรวมเผยแพร่เพื่อแก่ผู้สนใจ เนื่องจากเป็นข้อมูลและความเห็นจากบุคคลที่สาม การนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ ไม่ว่าในกรณีใดๆ ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณเฉพาะบุคคล สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอสแอนเจลิส ไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดๆที่อาจเกิดขึ้นจากการนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้
Overseas Trade Promotion Office ณ นครลอสแอนเจลิส กุมภาพันธ์ 2568