อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์กระดาษในสหรัฐฯ

ปี 2566 ผลิตภัณฑ์กระดาษในสหรัฐฯ มียอดขายเชิงปริมาณลดลง เนื่องจากภาระค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคชาวอเมริกันที่เพิ่มมากขึ้นและต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น เช่น วัตถุดิบ เป็นต้น ทำให้ยอดขายเชิงปริมาณของผลิตภัณฑ์กระดาษ อาทิ กระดาษเช็ดปาก กระดาษอเนกประสงค์ กระดาษชำระลดลง นอกจากนี้ ผู้บริโภคมีความอ่อนไหวต่อราคาเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคได้ปรับตัวกับราคาสินค้าของปี 2565 แล้ว อย่างไรก็ดี คาดว่ายอดขายจะฟื้นตัวขึ้นในปี 2567 ในระดับที่ใกล้เคียงกับช่วงก่อนการเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 และหากแรงกดดันด้านราคาลดลง คาดว่ายอดขายเชิงมูลค่าปี 2567 จะอยู่ที่ 23,387 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก 22,763 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7

 

อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์กระดาษในสหรัฐฯ

 

สินค้าตราห้างเป็นนิยมในช่วงภาวะเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน

ภาวะเงินเฟ้อได้กดดันให้ต้นทุนการผลิตต่อชิ้นสูงขึ้นในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์กระดาษในสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2565 และส่งผลให้ราคาของสินค้าเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคหันไปใช้สินค้าตราของห้าง (Private Brand) มากขึ้น เนื่องจากสินค้าตราห้างมีราคาต่อหน่วยที่ต่ำกว่าและได้มีการพัฒนาคุณภาพให้ดีขึ้น จึงทำให้สินค้าตราห้างได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากขึ้น โดยคาดว่าในปี 2567 สินค้าตราห้างจะยังเติบโตต่อเนื่อง ทั้งผลิตภัณฑ์กระดาษชำระ กระดาษอเนกประสงค์และกระดาษเช็ดหน้าแบบกล่อง

ปัจจุบันแม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะฟื้นตัวและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชาวอเมริกันจะเพิ่มขึ้น แต่ผู้บริโภคชาวอเมริกันยังคงใช้สินค้าตราห้างที่มีราคาถูกและมีคุณภาพเท่ากับหรือใกล้เคียงกับแบรนด์สินค้าในตลาดเพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายภายในครัวเรือน นอกจากนี้ สินค้าตราห้างได้พัฒนากระบวนการผลิตที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนและได้ออกสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสู่ตลาดด้วย รายงานจาก Natural Resources Defense Council องค์กรไม่แสวงหากำไรที่สนับสนุนเรื่องสิ่งแวดล้อมปี 2566 ได้จัดอันดับเรื่องความยั่งยืนสำหรับผลิตภัณฑ์กระดาษชำระ พบว่ามี 4 ยี่ห้อที่ได้คะแนนสูงสุด หรือเกรด A+ โดย 2 ใน 4 ตราสินค้าเป็นสินค้าตราห้างจากห้าง Whole Foods Market และห้าง Trader Joe’s และสำหรับอันดับรองลงมา หรือเกรด A ได้มีสินค้าตราห้างยี่ห้อ Simple Truth ยี่ห้อ Everspring และยี่ห้อ Greenwise ซึ่งเป็นของห้าง Kroger ห้าง Target และห้าง Publix ตามลำดับ โดยการจัดอันดับเรื่องความยั่งยืนดังกล่าวได้พิจารณาจากสัดส่วนของที่มาจากวัตถุดิบรีไซเคิลและส่วนผสมที่มาจากธรรมชาติ และการประเมินเรื่องการฟอกสี แสดงให้เห็นว่าสินค้าตราห้างได้พัฒนาสินค้าในเรื่องของความยั่งยืนได้ดีกว่าตราสินค้าทั่วไปในตลาด ดังนั้น หากตราสินค้าทั่วไปในตลาดต้องการที่จะแข่งขันกับสินค้าตราห้างเพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาดแล้ว แบรนด์ทั่วไปจะต้องพิจารณากลยุทธ์ด้านราคาและหาแนวทางในการผลิตสินค้าที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เนื่องจากสินค้าตราห้างได้เริ่มนำหน้าแบรนด์ทั่วไปในเรื่องความคุ้มค่าและความยั่งยืนไปแล้ว

 

อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์กระดาษในสหรัฐฯ

 

การเพิ่มราคาสินค้าโดยการลดปริมาณสินค้าแต่เสนอสินค้าขายในราคาเท่าเดิม (Shrinkflation) ได้มีส่วนช่วยในการรักษากำไรในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์กระดาษ

ราคาของผลิตภัณฑ์กระดาษในครัวเรือนได้เพิ่มขึ้นสูงตั้งแต่ปี 2561 เนื่องจากความต้องการของผลิตภัณฑ์กระดาษผันผวนจากสถานการณ์โควิด-19 และภาวะเงินเฟ้อในไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความท้าทายทางเศรษฐกิจจากภาวะเงินเฟ้อได้ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นสูง จึงทำให้อัตราในการทำกำไรของบริษัทน้อยลง หลายแบรนด์ในตลาดจึงได้ลดปริมาณสินค้าแต่เสนอขายในราคาเท่าเดิม หรือ Shrinkflation เพื่อรักษาผลตอบแทนทางกำไรโดยการลดปริมาณสินค้า ซึ่งเห็นได้ชัดจากกระดาษชำระและกระดาษอเนกประสงค์ที่ราคาสูงขึ้นใน 5 ปีที่ผ่านมา และได้มีการลดจำนวนม้วนและขนาดของกระดาษ เช่น กระดาษชำระยี่ห้อ Charmin Ultra Strong ของบริษัท Procter & Gamble ได้มีการลดจำนวนแผ่นจาก 262 แผ่นเป็น 242 แผ่น ส่วนกระดาษอเนกประสงค์ยี่ห้อ Great Value ของ Walmart ได้ลดจาก 168 แผ่นเป็น 120 แผ่น เป็นต้น และด้วยกลยุทธ์การลดปริมาณสินค้าของแบรนด์เหล่านี้ในตลาด ทำให้ผู้บริโภคได้รับสินค้าน้อยลงที่ทำให้ราคาต่อหน่วยที่สูงขึ้น จึงเป็นโอกาสของสินค้าตราห้างในการแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดในไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากสินค้าตราห้างมีแนวโน้มที่จะลดปริมาณสินค้าน้อยกว่า

การซื้อสินค้าแบบการสมัครสมาชิกซื้อต่อเนื่องจะช่วยเพิ่มความภักดีต่อแบรนด์สินค้าและประหยัดค่าใช้จ่ายของผู้บริโภค

ปกติการซื้อสินค้าแบบสมัครสมาชิกมักจะเป็นที่นิยมของสินค้าขายตรง (Direct-to-Consumer) อย่างไรก็ดี แนวคิดดังกล่าวเริ่มได้รับความสนใจจากผู้ค้าปลีก เนื่องจากแนวทางดังกล่าวเป็นประโยชน์ต่อผู้ซื้อและผู้ขาย ผู้ค้าปลีกอย่างบริษัท Amazon และบริษัท Walmart ได้เสนอตัวเลือก “Subscribe & Save” สำหรับสินค้าที่จำเป็นและมีการใช้จ่ายบ่อยครั้ง เช่น กระดาษชำระ ซึ่งการซื้อสินค้าแบบสมัครสมาชิกซื้อต่อเนื่องทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าจะมีสินค้าเพียงพอ และแนวทางดังกล่าวจะทำให้ผู้ค้าปลีกสามารถคาดการณ์ความต้องการของสินค้าและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานได้

สำหรับผู้บริโภคการซื้อสินค้าแบบสมัครสมาชิกซื้อต่อเนื่องจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและประหยัดค่าใช้จ่ายได้บางส่วน โดยผู้ค้าปลีกอาจเสนอส่วนลดร้อยละ 5 ถึงร้อยละ 15 ในการจูงใจผู้บริโภคโดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งแนวทางดังกล่าวมีผลทำให้ผู้บริโภคได้กลับมาใช้ตราสินค้าทั่วไปโดยมีราคาถูกลง และสินค้าจะถูกจัดส่งอัตโนมัติซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้บริโภคมากขึ้น ดังนั้น การซื้อสินค้าแบบสมัครสมาชิกซื้อต่อเนื่องได้กลายเป็นที่นิยมแก่ผู้ซื้อและผู้ค้าปลีกมากขึ้น

นวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยการออกแบบดีไซน์และเส้นใยทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ปี 2566 กระดาษชำระยี่ห้อ Charmin Ultra Soft ของบริษัท Procter & Gamble ได้เปิดตัวดีไซน์ใหม่ที่มีรอยปะเป็นรอยหยักเพื่อช่วยให้ดึงกระดาษชำระขาดออกจากกันง่ายขึ้น และขาดออกจากกันอย่างเรียบร้อย การเปลี่ยนแปลงดีไซน์ของบริษัท Procter & Gamble ในครั้งนี้เป็นเปลี่ยนรูปลักษณ์ของกระดาษชำระในรอบ 100 ปี โดยรอยหยักดังกล่าวจะช่วยลดขยะจากกระดาษที่ฉีกไม่เรียบร้อย อย่างไรก็ดี ยังไม่ชัดเจนว่าผลิตภัณฑ์ของ Charmin จะเปลี่ยนมาใช้ดีไซน์ดังกล่าวทั้งหมดหรือไม่ แต่การออกแบบใหม่ของบริษัท Procter & Gamble ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับอุตสาหกรรมกระดาษชำระ

 

อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์กระดาษในสหรัฐฯ

 

นอกจากการพัฒนาด้านดีไซน์แล้ว แนวคิดการใช้วัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น เยื่อกระดาษจากต้นไผ่ เยื่อกระดาษรีไซเคิล ได้ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์จากกระดาษ บริษัท Cheeky Panda จากสหราชอาณาจักรได้เปิดตัวกระดาษชำระที่ผลิตจากต้นไผ่พร้อมผสมสารสกัดจากว่านหางจระเข้ นอกจากนี้ บริษัท Amazon ได้เปิดตัวกระดาษชำระและกระดาษอเนกประสงค์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นสินค้าตราห้างภายใต้แบรนด์ Amazon Aware โดยผลิตจากเยื่อกระดาษรีไซเคิล 100% และได้รับการรับรองว่ามีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutrality) ซึ่งหมายความว่าเป็นการผลิตที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเท่ากับศูนย์

เทคโนโลยีในการนำกระดาษกลับมาใช้ใหม่

บริษัทต่างๆ พยายามหาแนวทางที่ยั่งยืนในการผลิตผลิตภัณฑ์กระดาษ เนื่องจากการตัดไม้ทำลายป่าได้สร้างผลกระทบที่ชัดเจนต่อผู้คนทั่วโลก ดังนั้น การนำผลิตภัณฑ์กลับมาใช้ใหม่จึงกลายเป็นประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์กระดาษอเนกประสงค์ที่มีระยะเวลาในการใช้งานสั้นและอาจนำไปสู่การใช้ที่มากเกินไปในครัวเรือนด้วย

หนึ่งผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นที่จะมาทดแทนกระดาษอเนกประสงค์ คือ ผ้าเช็ดจานสัญชาติสวีเดน ผ้าเช็ดจานสัญชาติสวีเดนผลิตจากฝ้ายร้อยละ 30 และเส้นใยจากพืชร้อยละ 70 ลักษณะของผ้าเช็ดจานสวีเดนคือมีลักษณะหนา มีประสิทธิภาพในการซึมซับดี และสามารถซักโดยเครื่องซักผ้าได้ ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายกับกระดาษอเนกประสงค์ในการทำความสะอาดกับคราบสกปรกบนพื้นผิวอย่างหินแกรนิต แก้ว กระเบื้อง หรือสแตนเลส ปัจจุบันผ้าเช็ดจานสัญชาติมีจำหน่ายในร้านค้าปลีกออนไลน์อย่างห้าง Costco ห้าง Ace Hardware ห้าง Target ห้าง Walmart หรือห้าง Amazon โดยที่ห้าง Costco เสนอราคาผ้าเช็ดจานสวีเดน 12 ผืนอยู่ที่ 9 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีดีไซน์ทั้งลวดลายและสีสันที่สวยงาม ทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากหันมาใช้ตัวเลือกดังกล่าว อีกทั้งผ้าเช็ดจานดังกล่าวไม่ทิ้งใยฝุ่นเหมือนกระดาษอเนกประสงค์ ประกอบกับคุณสมบัติที่แห้งเร็วทำให้ลดความเสี่ยงในการสะสมแบคทีเรีย โดยยี่ห้อ Wettex และยี่ห้อ Skoy กล่าวว่าผ้าเช็ดจานสามารถทดแทนกระดาษอเนกประสงค์ถึง 15 ม้วน และยี่ห้อ Danica ได้ยืนยันว่าสินค้าสามารถใช้ได้นานกว่า 9 เดือน

 

อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์กระดาษในสหรัฐฯ

 

สำหรับผู้บริโภคที่หาสินค้าทดแทนกระดาษอเนกประสงค์ ผ้าเช็ดจานสวีเดนก็ดูจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม เนื่องจากแห้งเร็วกว่าผ้าทั่วไป ปลอดภัยสำหรับพื้นผิวในครัวเรือน มีอายุการใช้งานยาวนาน และสามารถย่อยสลายได้ บริษัทผู้ผลิตกระดาษอเนกประสงค์จึงควรให้ความสนใจในประเด็นเรื่องการนำกลับมาใช้ใหม่มากขึ้น เนื่องจากแนวโน้มดังกล่าวสามารถสร้างแรงกดดันให้กับอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์กระดาษในครัวเรือนแบบใช้แล้วทิ้งอย่างมาก เนื่องจากผู้บริโภคชาวอเมริกันตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

 

ข้อเสนอแนะของสคต. นิวยอร์ก

ชาวอเมริกันนิยมใช้กระดาษชำระและกระดาษอเนกประสงค์อย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 ที่ผู้บริโภคชาวอเมริกันได้มีการซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเพื่อกักตุน อย่างไรก็ดี แนวโน้มของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์กระดาษโดยเฉพาะแนวคิดเรื่องการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมได้ส่งผลกระทบต่อการพัฒนารูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ ส่วนผสม และการหาสินค้าทดแทนเพื่อลดการบริโภคที่มากเกินไป ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยและผู้ส่งออกไทยจึงควรพัฒนาผลิตภัณฑ์กระดาษที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยอาจปรับใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่มีอยู่จำนวนมากในประเทศไทย พร้อมกับยื่นขอคำรับรองกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าเป็นการผลิตสีเขียวเพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้า

 

ข้อมูลอ้างอิง: Euromonitor

jaJapanese