(ภาพและแหล่งที่มา https://mp.weixin.qq.com/s/ezeMzSiCaTNGTfeqUBPI0w)
ในขณะที่โลกกำลังจับตามองสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศที่ตึงเครียด การต่อสู้อีกรูปแบบหนึ่งกำลังเกิดขึ้นในพื้นที่ดิจิทัล เมื่อ TikTok แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่จากจีน กำลังเผชิญกับการถูกสั่งห้ามให้บริการในสหรัฐอเมริกา สร้างปรากฏการณ์ “ผู้ลี้ภัยดิจิทัล” ครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานนับล้าน
จุดเริ่มต้นของวิกฤต
เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อเดือนเมษายน 2567 เมื่อประธานาธิบดีโจ ไบเดน ลงนามในกฎหมายที่ผ่าน การอนุมัติจากทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา กำหนดให้ ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok ต้องขายกิจการให้กับบริษัทที่ไม่ใช่สัญชาติจีนภายใน 270 วัน มิฉะนั้นแอปพลิเคชันจะถูกแบนในสหรัฐฯ กฎหมายฉบับนี้ถูกกำหนดให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 19 มกราคม 2568 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของไบเดน
บทบาทของรัฐบาลทรัมป์
การกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ในฐานะประธานาธิบดีคนใหม่ได้สร้างพลวัตใหม่ให้กับวิกฤต TikTok อย่างน่าสนใจ ทรัมป์ได้ใช้ประเด็นนี้เป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ทรงพลัง ด้วยการประกาศว่าจะเป็นผู้กอบกู้แพลตฟอร์มนี้ และสร้างภาพลักษณ์ของผู้พิทักษ์เสรีภาพดิจิทัล เพื่อดึงคะแนนเสียงจากกลุ่มผู้ใช้งานรุ่นใหม่ กลยุทธ์ของเขารวมถึงการวางแผนให้ TikTok ปิดตัวชั่วคราวหนึ่งวัน เพื่อสร้างดราม่าและความตื่นตัว ก่อนที่จะ “กอบกู้” สถานการณ์ในวันรุ่งขึ้น
ในแผนการ 90 วันแรกของการบริหาร ทรัมป์ได้เปิดเผยว่าจะมีการพิจารณาทบทวนกฎหมายห้าม TikTok ที่ออกในสมัยไบเดน พร้อมกับเจรจากับ ByteDance เพื่อหาทางออกที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ นอกจากนี้ ยังมีแผนสร้างกรอบการกำกับดูแลใหม่ที่สมดุลระหว่างความมั่นคงและเสรีภาพ รวมถึงเปิดโอกาสให้นักลงทุนอเมริกันเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหาร TikTok
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ต้องเผชิญความท้าทายหลายประการในการแก้ไขวิกฤตครั้งนี้ ทั้งแรงกดดันจากพรรครีพับลิกันที่ต้องการจัดการกับอิทธิพลของจีน การต่อต้านจากกลุ่มที่กังวลเรื่องความมั่นคงของชาติ ความซับซ้อนของกฎหมายที่ผ่านรัฐสภาแล้ว และความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่ยังตึงเครียด
ผลกระทบต่อระบบนิเวศดิจิทัล
การสั่งห้าม TikTok ส่งผลกระทบในวงกว้างต่อระบบนิเวศดิจิทัล ไม่เพียงแต่ตัวแอปพลิเคชันหลักเท่านั้น แต่ยังรวมถึงแพลตฟอร์มอื่นๆ ในเครือ ByteDance อย่าง CapCut, Lemon8, Gauth และ Hypic ที่ต้องหยุดให้บริการพร้อมกัน สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจสร้างสรรค์และระบบนิเวศดิจิทัลในภาพรวม
ปรากฏการณ์ผู้ลี้ภัยดิจิทัล
ปรากฏการณ์ผู้ลี้ภัยดิจิทัลเกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้งานหลายล้านคนต้องสูญเสียแพลตฟอร์มที่พวกเขาใช้สร้างรายได้ สร้างตัวตน และสร้างชุมชน ผู้สร้างคอนเทนต์ที่มีผู้ติดตามหลายล้านคนต้องเริ่มต้นใหม่บนแพลตฟอร์มอื่น ชุมชนออนไลน์ที่เติบโตมาหลายปีต้องแตกสลาย และรายได้ของผู้ประกอบการรายย่อยต้องสะดุดลง สถานการณ์นี้ก่อให้เกิดคำถามสำคัญเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพในโลกดิจิทัล
การเมืองและผลประโยชน์ซ้อนทับ
เมื่อมองลึกลงไปในมิติทางการเมือง จะเห็นว่าสถานการณ์นี้สะท้อนความซับซ้อนของการเมืองระหว่างประเทศในยุคดิจิทัลได้เป็นอย่างดี ในขณะที่ฝ่ายไบเดนพยายามสร้างกฎหมายที่ไม่เปิดช่องให้ต่อรองและ วางกำหนดเวลาให้สิ้นสุดในวาระของตนเอง ฝ่ายทรัมป์กลับเลือกที่จะสร้างภาพลักษณ์ผู้พิทักษ์เสรีภาพดิจิทัลและมุ่งเน้นการเจรจามากกว่าการใช้มาตรการเด็ดขาด
การเปลี่ยนแปลงล่าสุดและอนาคตที่ไม่แน่นอน
เมื่อใกล้ถึงกำหนดเส้นตาย การประกาศของไบเดนที่จะไม่บังคับใช้คำสั่งแบนในวันที่ 19 มกราคม ไม่เพียงแต่เป็นการตัดโอกาสไม่ให้ทรัมป์ได้เป็นวีรบุรุษ แต่ยังเป็นการส่งต่อปัญหายากนี้ให้รัฐบาลชุดต่อไปอีกด้วย ทำให้สถานการณ์ยังคงไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน
บทเรียนและข้อคิดสำหรับอนาคต
วิกฤต TikTok ได้ให้บทเรียนสำคัญหลายประการ ทั้งเรื่องความเปราะบางของพื้นที่ดิจิทัล ความเสี่ยงของการพึ่งพาแพลตฟอร์มเดียว อำนาจรัฐในการควบคุมพื้นที่ดิจิทัล และผลกระทบของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่อผู้ใช้งานทั่วไป แม้ว่า TikTok จะได้รับการผ่อนผันชั่วคราว แต่อนาคตของแพลตฟอร์มนี้ในสหรัฐฯ ยังไม่แน่นอน สิ่งที่แน่ชัดคือ กรณีนี้จะเป็นบรรทัดฐานสำคัญสำหรับการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลข้ามชาติในอนาคต และอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภูมิทัศน์สื่อสังคมออนไลน์ระดับโลก ในท้ายที่สุด วิกฤต TikTok ไม่ใช่เพียงเรื่องของแอปพลิเคชันเดียว แต่เป็นภาพสะท้อนของความท้าทายในยุคดิจิทัลที่การเมือง เทคโนโลยี และสิทธิพลเมืองเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก การแก้ไขปัญหานี้จึงต้องอาศัยความเข้าใจที่ลึกซึ้งและการสร้างสมดุลระหว่างความมั่นคงของชาติกับเสรีภาพของประชาชน
ข้อเสนอแนะ สคต. ณ นครเฉิงตู
ท่ามกลางวิกฤต TikTok ในสหรัฐอเมริกา Xiaohongshu หรือ Little Red Book แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียสัญชาติจีนกลับได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้งานต่างชาติที่สนใจเรียนรู้วัฒนธรรมและไลฟ์สไตล์จีนร่วมสมัย แพลตฟอร์มนี้ได้กลายเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างวัฒนธรรมที่มีประสิทธิภาพ ผ่านการแชร์เรื่องราวในชีวิตประจำวัน การรีวิวสินค้าและบริการ ตลอดจนการแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวในประเทศจีน
สำหรับผู้ประกอบการไทย Xiaohongshu เปิดโอกาสทางธุรกิจที่น่าสนใจในการเข้าถึงตลาดจีน โดยสามารถใช้เป็นช่องทางการตลาดและสร้างการรับรู้แบรนด์ผ่านการทำคอนเทนต์ที่น่าสนใจ อีกทั้งยังสามารถศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคจีนเพื่อพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ความต้องการได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ความสำเร็จของ Xiaohongshu ยังเป็นต้นแบบให้ผู้ประกอบการไทยในการพัฒนาแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เน้นการสร้างคุณค่าและความเข้าใจระหว่างวัฒนธรรม โดยอาศัยจุดแข็งด้านความเข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่นและพฤติกรรมผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การเติบโตของ Xiaohongshu แสดงให้เห็นว่า แพลตฟอร์มที่มุ่งเน้นการสร้างความเข้าใจระหว่างวัฒนธรรมและการแลกเปลี่ยนประสบการณ์เชิงบวก สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนโดยไม่ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคง บทเรียนนี้สะท้อนให้เห็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยในการพัฒนาแพลตฟอร์มทางเลือกที่มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวได้ดี โดยเฉพาะการสร้างระบบที่กระจายอำนาจและไม่พึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจไทยสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์ดิจิทัลในอนาคตได้อย่างมั่นคง
นอกจากการเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม Xiaohongshu ยังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในด้านการท่องเที่ยวและการค้าข้ามพรมแดน ผู้สร้างคอนเทนต์ชาวต่างชาติสามารถสร้างรายได้ผ่านการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร และสินค้าท้องถิ่นให้กับผู้ใช้งานชาวจีน ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวจีนก็ใช้แพลตฟอร์มนี้วางแผนการเดินทางและค้นหาประสบการณ์ใหม่ๆ ในต่างประเทศ ส่งผลให้เกิดการกระจายรายได้สู่ธุรกิจท้องถิ่นและชุมชนในประเทศปลายทาง
จากข้อมูล chinainternetwatch.com ในปี 2567 Xiaohongshu มีผู้ใช้งานมากกว่า 200 ล้านคนต่อเดือน โดยร้อยละ 70 เป็นผู้ใช้งานที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี และมีอัตราการเติบโตของผู้ใช้งานต่างชาติสูงถึงร้อยละ 300 ในช่วงสองปีที่ผ่านมา แพลตฟอร์มนี้สร้างรายได้จากการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์มากกว่า 100,000 ล้านหยวนต่อปี และมีแบรนด์ระดับโลกมากกว่า 80,000 แบรนด์ที่เข้าร่วมทำการตลาดบนแพลตฟอร์ม สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพในการเป็นช่องทางการตลาดและการสร้างการรับรู้แบรนด์ระดับโลก
สำหรับประเทศไทย Xiaohongshu ได้กลายเป็นช่องทางสำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจีน โดยการรีวิวสถานที่ท่องเที่ยว อาหารไทย และวัฒนธรรมท้องถิ่นบนแพลตฟอร์มมีส่วนสำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจให้นักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางมาเยือนประเทศไทย จากสถิติพบว่า คอนเทนต์เกี่ยวกับประเทศไทยบน Xiaohongshu มียอดวิวรวมมากกว่า 10,000 ล้านครั้งในปี 2566 และมีผู้สร้างคอนเทนต์ชาวไทยที่มีผู้ติดตามมากกว่า 100,000 คนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 200 ในช่วงปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงโอกาสอันกว้างขวางสำหรับธุรกิจไทยในการใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มนี้เพื่อเข้าถึงตลาดจีนและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
————————————————–
成都の海外貿易促進オフィス
มกราคม 2568
แหล่งข้อมูล :
https://mp.weixin.qq.com/s/HQZggwed3qF6hn_vvOOKdw
https://mp.weixin.qq.com/s/ezeMzSiCaTNGTfeqUBPI0w
https://www.chinainternetwatch.com/#google_vignette