นับตั้งแต่ต้นปี 2568 ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ก็ได้ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศมาตรการ “ภาษีตอบโต้” (Reciprocal Taxation) กับหลายประเทศทั่วโลกในวันที่ 2 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการยกระดับความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะกับประเทศจีน ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของทรัมป์ที่มีการขึ้นภาษีเพิ่มเติมจากฐานภาษีเดิมร้อยละ 34 ส่งผลให้จีนต้องใช้มาตรการตอบโต้ทางภาษีกลับเช่นกัน
เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2568 สหรัฐอเมริกาได้ประกาศปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนสูงถึงร้อยละ 145 ทำให้จีนต้องประกาศมาตรการตอบโต้ด้วยการปรับเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐอเมริกาจากเดิมร้อยละ 84 เป็นร้อยละ 125 ในเวลาต่อมา ซึ่งตัวเลขภาษีดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 12 เมษายน 2568 เป็นต้นไป พร้อมทั้งยืนยันว่าจะไม่มีการปรับเพิ่มภาษีไปมากกว่านี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา หลังจากเว็บไซต์ทำเนียบขาวได้เผยแพร่ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการสอบสวนตามมาตรา 232 ของกฎหมาย trade Expansion Act 1962 โดยระบุว่า “จีนกำลังเผชิญกับอัตราภาษีสูงสุดถึงร้อยละ 245 อันเป็นผลจากการดำเนินมาตรการตอบโต้ของจีนเองในช่วงที่ผ่านมา” แต่ปัจจุบันยังไม่ได้รับการชี้แจงใด ๆ จากหน่วยงานภาครัฐของสหรัฐฯ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความสับสนให้กับทั่วโลกเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนมาโดยตลอดว่า การที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีกับสินค้าจากจีนอย่างต่อเนื่องด้วยอัตราที่สูงเกินจริงนั้น ได้กลายเป็นเพียงเกมตัวเลขที่ไม่มีความหมายในเชิงเศรษฐกิจอีกต่อไป สิ่งเหล่านี้มีแต่จะยิ่งเผยให้เห็นว่า สหรัฐฯ กำลังใช้ภาษีเป็นเครื่องมือทางการเมืองและการบีบบังคับ เพื่อใช้อำนาจในลักษณะรังแกและกดดันฝ่ายอื่น สงครามภาษีและสงครามการค้าไม่มีผู้ชนะ จีนไม่ต้องการสู้ แต่ก็ไม่กลัวการต่อสู้ หากสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าเล่นเกมตัวเลขกับภาษี จีนจะไม่ใส่ใจ แต่หากสหรัฐฯ ยังคงละเมิดผลประโยชน์ของจีนอย่างเป็นรูปธรรม จีนจะตอบโต้กลับอย่างหนักแน่น และเผชิญหน้าอย่างถึงที่สุด
ย้อนไทม์ไลน์สงครามภาษีจีน – สหรัฐฯ นับตั้งแต่ต้นปี 2568
วันที่ | ประเด็นสำคัญ |
1 กุมภาพันธ์ 2568 | สหรัฐฯ เริ่มต้นการขึ้นภาษี 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน |
4 กุมภาพันธ์ 2568 | 中国 ตอบโต้โดยกำหนดภาษี 15% สำหรับถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และ 10% สำหรับน้ำมันดิบเครื่องจักรกลการเกษตรและรถยนต์ขนาดใหญ่จากสหรัฐฯ |
3 มีนาคม 2568 | สหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้าเพิ่มเติมอีก 10% ซึ่งทำให้อัตราภาษีรวมเป็น 20% ต่อสินค้าจากจีน |
4 มีนาคม 2568 | 中国 ตอบโต้ด้วยการเพิ่มภาษี 15% สำหรับสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เช่น ข้าวโพดและ ถั่วเหลือง รวมถึง 10% สำหรับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น ไก่และเนื้อหมู |
2 เมษายน 2568 | สหรัฐฯ ประกาศการเพิ่มภาษีอีก 34% ทำให้อัตราภาษีรวมสำหรับสินค้าจากจีนเป็น 54% |
4 เมษายน 2568 | 中国
– ตอบโต้โดยเพิ่มภาษี 34% สำหรับสินค้าจากสหรัฐฯ รวมถึงไก่และผัก ซึ่งจะมีผลตั้งแต่ 10 เมษายน 2568 – ประกาศมาตรการควบคุมการส่งออกสินค้าแร่ธาตุหายากชนิดกลางและชนิดหนัก 7 ประเภท |
8 เมษายน 2568 | สหรัฐฯ เพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 50% เป็น 104% เนื่องจากจีนไม่ยกเลิกภาษีตอบโต้ |
9 เมษายน 2568 | 中国 ตอบโต้ด้วยการเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เป็น 84% มีผลตั้งแต่ 10 เมษายน 2568 เป็นต้นไป |
10 เมษายน 2568 | สหรัฐฯ
– ตัดสินใจเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีก 21% รวมเป็น 125% ภายหลัง มีประกาศมาอีกครั้งว่า อัตราภาษีดังกล่าวยังไม่รวมกับที่สหรัฐเคยเรียกเก็บภาษีที่เกี่ยวข้องกับสารเสพติดเฟนทานิล ในอัตรา 20% ทำให้อัตราภาษีสินค้านำเข้าจากจีนแท้จริงอยู่ที่ 145% – ประกาศระงับการเก็บภาษีสินค้าจากประเทศอื่นเป็นเวลา 90 วัน โดยจะยังคงจัดเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 10% สำหรับ 75 ประเทศยกเว้นจีน เพื่อเปิดทางให้ประเทศเหล่านี้มีการเจรจาการค้า |
11 เมษายน 2568
|
中国 ประกาศตอบโต้ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เดิม 84% เป็น 125 % มีผลตั้งแต่ 12 เมษายน 2568 นี้ และจะไม่ขึ้นสูงไปกว่านี้ โดยระบุว่า การขึ้นภาษีของสหรัฐฯ สร้างความตึงเครียดทางเศรษฐกิจและเปิดเผยถึงความวิตกกังวลในทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ และปัญหาภายในประเทศ |
12 เมษายน 2568 | สหรัฐฯ ได้ประกาศยกเว้นภาษีสำหรับสินค้าบางประเภทจากจีน เช่น คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน อุปกรณ์การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ และวงจรรวม เป็นต้น แต่ต่อมามีรายงานจากสื่อระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า การยกเว้นภาษีสำหรับ สมาร์ทโฟนและสินค้าดิจิทัลอื่น ๆ เป็นการดำเนินการชั่วคราวเท่านั้น ขณะที่ วิลเบอร์ รอสส์ (Wilbur Ross) รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ ได้กล่าวว่า สหรัฐฯ จะเก็บภาษีเพิ่มสำหรับเซมิคอนดักเตอร์ แยกพิเศษ |
15 เมษายน 2568 | 中国ตอบโต้สหรัฐฯ โดยสั่งสายการบินของจีน ระงับการรับมอบเครื่องบินที่ซื้อจากบริษัทโบอิ้งของสหรัฐฯ และหยุดซื้ออุปกรณ์จากบริษัทในสหรัฐฯ |
ผลกระทบที่คาดการณ์จากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจจีน
1) ผลกระทบต่อการส่งออก
ในปี 2567 การส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 524.66 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ 14.7 ของการส่งออกทั้งหมดของจีน การขึ้นภาษี 145% ของสหรัฐฯ ทำให้ช่องทางการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เกือบจะถูกตัดขาดในระยะสั้น ทั้งนี้ จีนได้สร้างเส้นทางการค้าทดแทนผ่านการตั้งฐานการผลิต ในประเทศต่าง ๆ เช่น เวียดนาม เม็กซิโก เพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ แต่การขึ้นภาษีต่อสินค้าจากจีนที่ผ่านประเทศเหล่านี้อาจทำให้การส่งออกของจีนลดลง
2) ผลกระทบต่อ GDP
ภาคการส่งออกเป็น 1 ใน 3 ส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนของเศรษฐกิจจีน ในปี 2567 อัตราการเติบโตของ GDP จีนอยู่ที่ร้อยละ 5 โดยการส่งออกสุทธิของสินค้าและบริการมีส่วนช่วยการเติบโตทางเศรษฐกิจถึงร้อยละ 30.3 และช่วยดึง GDP ให้เติบโตขึ้นร้อยละ 1.5 อย่างไรก็ตาม หากการส่งออกในปี 2568 ลดลง อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของ GDP และการเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง
3) ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมหลัก
การขึ้นภาษีของสหรัฐฯ คาดว่าจะมีผลกระทบมากที่สุดต่ออุตสาหกรรมเครื่องจักร อุปกรณ์ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ของเล่น และสิ่งทอ เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีขนาดการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในระดับสูง ซึ่งในปี 2567 กลุ่มเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า (เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า) คิดเป็นสัดส่วนสูงสุดของการส่งออกไปยังสหรัฐฯ อยู่ที่ร้อยละ 42 ของการส่งออกทั้งหมด รองมาเป็นกลุ่มสินค้าประเภทเฟอร์นิเจอร์และของเล่น คิดเป็นร้อยละ 12.3 และกลุ่มสิ่งทอ คิดเป็นร้อยละ 9.41
กลยุทธ์การตอบโต้ของจีนและการปรับตัวของธุรกิจในช่วงสงครามภาษี
สงครามภาษีที่สหรัฐฯ เปิดฉากขึ้นกับจีนไม่เพียงแต่สร้างความท้าทายอย่างมหาศาลต่อเศรษฐกิจของจีน แต่ยังทำให้จีนต้องปรับตัวในหลายมิติผ่านกลยุทธ์ที่ไม่เพียงแต่จำกัดการตอบโต้ในรูปแบบการเพิ่มภาษีเท่านั้น แต่ยังขยายขอบเขตการดำเนินงานไปสู่การพัฒนาเชิงโครงสร้างที่ยั่งยืนและการยกระดับความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก
1) การปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานและการวางแผนการค้าในระดับโลก
กระจายการผลิตไปยังหลายประเทศ เช่น เวียดนาม ไทย อินเดีย และเม็กซิโก โดยอาศัยต้นทุนแรงงานที่ต่ำและประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรีที่ลดหรือยกเว้นภาษีศุลกากร เพื่อลดการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่ง และเสริมความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทานในแต่ละภูมิภาค
การเปลี่ยนแปลงสู่ระบบอัจฉริยะและดิจิทัล โดยนำเทคโนโลยีมาช่วยบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน เช่น การติดตามการเปลี่ยนแปลงของนโยบายภาษีแบบเรียลไทม์ และปรับแผนการจัดซื้อหรือโลจิสติกส์ให้เหมาะสมตามสถานการณ์ นอกจากนี้ยังใช้ข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มความต้องการของตลาด วางแผน การผลิต และจัดการคลังสินค้าอย่างยืดหยุ่น เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดจากมาตรการภาษี
2) การกระจายตลาดและการขยายความต้องการภายในประเทศ
การกระจายตลาดในตลาดเกิดใหม่ เร่งการขยายการลงทุนในประเทศที่อยู่ใน “โครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road Initiative – BRI) เช่น ประเทศในอาเซียน ตะวันออกกลาง และลาตินอเมริกา โดยปรับผลิตภัณฑ์ให้เข้ากับพฤติกรรมการบริโภคของตลาดเป้าหมายในแต่ละภูมิภาค
การขยายสัดส่วนการขายภายในประเทศ ใช้ประโยชน์จากนโยบาย “การบูรณาการการค้าภายในและภายนอกประเทศ” ที่ทำให้กระบวนการการผลิต การกระจายสินค้า และการขายในตลาดภายในและต่างประเทศเชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์ของรัฐบาล โดยนำสินค้าที่ผลิตเพื่อส่งออกเดิม มาปรับโครงสร้างการผลิตและการขายเพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในประเทศ ผ่านช่องทางการขายออนไลน์และร้านค้าปลีก
3) การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม
การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม การเพิ่มการลงทุนใน R&D เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความชาญฉลาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถปรับแต่งตามความต้องการเฉพาะของลูกค้า
กลยุทธ์สร้างแบรนด์ให้มีคุณค่าและความแตกต่าง เพื่อให้ลูกค้าไม่ตัดสินใจซื้อจากราคาถูกเพียงอย่างเดียว มุ่งเน้นสินค้าที่มีกำไรสูง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาด
4) การควบคุมต้นทุนและการป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน
ภาคธุรกิจของจีนต้องเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการโลจิสติกส์ การจัดการคลังสินค้า และกระบวนการผลิต รวมถึงต้องเร่งเจรจากับลูกค้าเพื่อแบ่งปันต้นทุนภาษีหรือปรับราคาผลิตภัณฑ์ พร้อมทั้ง จัดการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยใช้เงินด้วยหยวนเพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน หรือใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Forward Contracts) และ Fx Option (Foreign Exchange Option) เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน
ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะของสคต. ณ นครเฉิงตู
- ข้อได้เปรียบของจีน
หลังจากที่ทรัมป์ประกาศการขึ้นภาษีต่อสินค้าที่นำเข้าจากจีนในวันที่ 2 เมษายน 2568 เพียงสองวันต่อมา จีนได้ประกาศการควบคุมการส่งออกแร่หายาก 7 ชนิดที่สำคัญ ได้แก่ แร่แกโดลิเนียม (Gd) แร่เทอร์เบียม (Tb) แร่อิตเทรียม (Y) แร่ซาแมเรียม (Sm) แร่ลูทีเชียม (Lu) แร่สแกนเดียม (Sc) และ แร่ดิสโพรเซียม (Dy) ซึ่งแร่เหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อ เครื่องบินรบขั้นสูง โดยถูกใช้ในหลายส่วน ของเครื่องบินรวมถึงระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องยนต์ของเครื่องบิน นอกจากนี้ รายงานจาก The New York Times ในวันที่ 13 เมษายน 2568 ระบุว่า การควบคุมการส่งออกแร่หายากโดยจีน ทำให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรมหลายประเภทในสหรัฐฯ เช่น ยานยนต์ การบินอวกาศ เซมิคอนดักเตอร์ และอุตสาหกรรมทหาร เนื่องจาก 87% ของห่วงโซ่อุปทานของอุปกรณ์ทหารหลักที่ใช้งานอยู่และกำลังพัฒนาในสหรัฐฯ จำเป็นต้องใช้แร่หายากในกระบวนการผลิต อย่างไรก็ตาม การตอบโต้ด้วยการควบคุมการส่งออกแร่หายากของจีนเป็นการใช้จุดแข็งของจีนในฐานะผู้ผลิตแร่หายากรายใหญ่ของโลก ส่งผลให้สหรัฐฯ ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมทหารและเทคโนโลยีขั้นสูงที่มีความต้องการแร่เหล่านี้ในการผลิต
หากจีนยังคงใช้มาตรการนี้ต่อไป จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมทหารและการพัฒนานวัตกรรมในสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจทำให้สหรัฐฯ ต้องหันไปพัฒนาห่วงโซ่อุปทานที่หลากหลายขึ้น หรือเร่งกระบวนการพัฒนาแหล่งแร่หายากในประเทศอื่น ๆ แต่ก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากเนื่องจากการเข้าถึงแร่หายากในปริมาณที่มากและคุณภาพสูงไม่ใช่เรื่องง่าย
- ไทยกับโอกาสในสงครามภาษีจีน – สหรัฐ
- ไทยควรติดตามแนวโน้มการย้ายฐานการผลิตจากจีนอย่างใกล้ชิด
เนื่องจากบริษัทจีนหลายแห่งเริ่มมองหาแหล่งผลิตทางเลือก เช่น ไทย เวียดนาม และอินเดีย เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีและลดความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ไทยจึงควรเร่งเสริมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาแรงงานฝีมือ เพื่อดึงดูดการลงทุนจากจีน
- โอกาสจากสงครามภาษีเพื่อขยายตลาดสินค้าจากไทยสู่จีนและภูมิภาคโดยรอบ
จากสถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ปริมาณการค้าระหว่างสองประเทศลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ไทยจึงควรใช้จังหวะนี้ในการเร่งส่งเสริมและผลักดันการส่งออกสินค้าคุณภาพจากไทยเข้าสู่ตลาดจีน โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเกษตรแปรรูป อาหารเพื่อสุขภาพ และผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงและสอดคล้องกับมาตรฐานความปลอดภัย ซึ่งตอบโจทย์ต่อพฤติกรรมการบริโภคภายในประเทศของจีนที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ไทยยังสามารถใช้พื้นที่ในจีนตะวันตกและจีนตอนใต้ เช่น มณฑลเสฉวน ยูนนาน และ กว่างซี ซึ่งมีศักยภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานและตั้งอยู่ในแนวเชื่อมต่อของนโยบาย Belt and Road Initiative (BRI) ของจีน เป็นฐานสำคัญในการกระจายสินค้าไปยังภูมิภาคเอเชียกลาง ตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออกต่อไป
- ส่งออกสินค้าทดแทนจากไทยสู่ตลาดสหรัฐฯ ในช่วงที่สินค้าจีนถูกจำกัดจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ผู้ประกอบการไทยมีโอกาสขยายการส่งออกสินค้าในกลุ่มที่สหรัฐฯ เคยนำเข้าจากจีน เช่น เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ไฟฟ้า ของเล่น และสิ่งทอ โดยไทยควรเร่งพัฒนาแผนการเจาะตลาดสหรัฐฯ อย่างเป็นระบบ โดยเน้นการสนับสนุนมาตรฐานสินค้า การสร้างแบรนด์ และการจับคู่ธุรกิจ เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดจากจีนให้ได้มากยิ่งขึ้น
- โอกาสของไทยในฐานะหุ้นส่วนทางการค้าและการลงทุน ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ ประเทศที่มีความสัมพันธ์ดีกับทั้งสองฝ่ายอย่างไทย อาจกลายเป็นจุดเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยไทยสามารถใช้ประโยชน์จาก FTA อาทิ RCEP และสถานะในอาเซียนเพื่อดึงดูดความร่วมมือในด้านห่วงโซ่อุปทาน โลจิสติกส์ และนวัตกรรมอาหารสุขภาพ
————————————————–
成都の海外貿易促進オフィス
เมษายน 2568
แหล่งข้อมูล :
https://www.lhratings.com/file/fdbc96fed32.pdf
https://news.sina.com.cn/w/2568-04-16/doc-inetiwez4559030.shtml
https://finance.sina.com.cn/roll/2568-04-14/doc-inetataz5338851.shtml?froms=ggmp https://finance.sina.com.cn/jjxw/2568-04-16/doc-inetiweu6934774.shtml
https://www.guancha.cn/internation/2568_04_16_772327.shtml
(แหล่งที่มาภาพ : scbeic)