รัฐบาลอินเดียได้ประกาศเก็บอากรปกป้อง (safeguard duty) ชั่วคราวในอัตราร้อยละ 12 สำหรับผลิตภัณฑ์เหล็กสำคัญ 5 ประเภท เป็นระยะเวลา 200 วัน เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2568 เป็นต้นไป เพื่อสกัดกั้นการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศ
การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากการสอบสวนของหน่วยงาน Directorate General of Trade Remedies (DGTR) ภายใต้กระทรวงพาณิชย์ของรัฐบาลอินเดีย ที่ดำเนินการมาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2567หลังจากที่ได้รับคำร้องของสมาคมอุตสาหกรรมเหล็กอินเดีย (Indian Steel Association) ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสำคัญ เช่น JSW Steel, Tata Steel, SAIL, ArcelorMittal Nippon Steel India และ Jindal Steel and Power
รายละเอียดของมาตรการ
อัตราภาษี: ร้อยละ 12 ของราคานำเข้า (ad valorem)
ระยะเวลาบังคับใช้: 200 วัน นับจากวันที่ประกาศ
ประเภทสินค้าที่อยู่ภายใต้มาตรการ จำนวน 5 รายการ ได้แก่
- แผ่นและม้วนเหล็กร้อน (Hot Rolled Coils, Sheets, Plates)
- แผ่นเหล็กจากโรงรีดแผ่นหนา (Plate Mill Plates)
- เหล็กรีดเย็น (Cold Rolled Coils and Sheets)
- เหล็กเคลือบโลหะ (Metallic Coated Steel Coils and Sheets)
- เหล็กเคลือบสี (Colour Coated Coils and Sheets)
โดยรัฐบาลอินเดียได้กำหนดราคานำเข้าขั้นต่ำ (threshold import price) อยู่ระหว่าง 675 ถึง 964 เหรียญสหรัฐต่อเมตริกตัน สำหรับแต่ละหมวดสินค้า โดยสินค้าที่นำเข้าด้วยราคาต่ำกว่าระดับดังกล่าวจะต้องเสียอากรดังกล่าว ในขณะที่สินค้าที่นำเข้าด้วยราคาสูงกว่าหรือเท่ากับระดับดังกล่าวจะได้รับการยกเว้น
สาเหตุและความเป็นมาของการดำเนินมาตรการ
ในช่วงปี 2566–2567 การนำเข้าเหล็กสำเร็จรูปของอินเดียแตะระดับสูงสุดในรอบ 9 ปี โดยอยู่ที่ 9.5 ล้านเมตริกตัน โดยเฉพาะเหล็กแผ่นรีดร้อน เหล็กรีดเย็น และเหล็กเคลือบ มีการนำเข้าจาก จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเวียดนาม เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
โดยข้อมูลจาก DGTR ระบุว่า การนำเข้าเหล็กแผ่นชนิดไม่ผสมและผสม (Non-Alloy and Alloy Steel Flat Products) เพิ่มขึ้นจาก 2.29 ล้านตันในปี 2564–65 เป็น 6.61 ล้านตัน ในช่วงเวลาการสอบสวน (เดือนตุลาคม 2566 ถึง กันยายน 2567) ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตในประเทศอย่างชัดเจน และอาจสร้างความเสียหายอย่างถาวรหากไม่มีมาตรการเร่งด่วน
มุมมองของภาคอุตสาหกรรมอินเดียต่อการดำเนินมาตรการ
มีทั้งผู้เห็นด้วยและผู้คัดค้าน โดยสมาคมอุตสาหกรรมเหล็กอินเดีย มองว่ามาตรการนี้จะช่วยปกป้องผู้ประกอบการจากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม และสนับสนุนนโยบาย “อัตมานิภาร์ ภารตะ” (Atmanirbhar Bharat – อินเดียพึ่งตนเอง) ขณะที่ภาคการส่งออก โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ในอินเดียกลับไม่เห็นด้วย โดยให้เหตุผลว่า ราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นจะลดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าอินเดียในตลาดโลก โดย นาย S.C. Ralhan ประธานสหพันธ์องค์การส่งออกอินเดีย (FIEO) กล่าวว่ามาตรการดังกล่าวทำให้เกิดการขึ้นราคาเหล็กทันทีจาก 5,400 รูปีอินเดียต่อตัน เป็น 6,000 รูปีอินเดียต่อตัน ซึ่งอาจทำให้สินค้าอินเดียไม่สามารถแข่งขันได้ โดยเฉพาะกับตลาดสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีการเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมที่ร้อยละ 25
แหล่งอ้างอิง
- Reuters: India imposes 12% temporary tariff on some steel imports, 21 April 2025. https://www.reuters.com
- The Hindu BusinessLine: Government imposes 12% safeguard duty on certain steel products for 200 days, 22 April 2025. https://www.thehindubusinessline.com
- DGTR India (Directorate General of Trade Remedies): https://www.dgtr.gov.in
- FIEO – Federation of Indian Export Organisations: https://www.fieo.org