เบื้องหลังภาษี Solar Cell 3,521% ที่สหรัฐฯ จัดหนักใส่กัมพูชา

เมื่อวันจันทร์ที่ 21 เมษายน 2568 สหรัฐอเมริกาได้ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าแผง Solar Cell จาก 4 ประเทศในอาเซียน ได้แก่ กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย และไทย โดยเฉพาะกัมพูชาถูกเก็บภาษีสูงถึง 3,521% มาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในเดือนมิถุนายน 2568 นี้

การเรียกเก็บภาษีครั้งนี้ เป็นผลจากการสอบสวนของหน่วยงานของสหรัฐฯ ซึ่งดำเนินการมากว่า 1 ปี โดยเริ่มจากคำร้องของผู้ผลิตแผง Solar Cell ในสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน จากการสอบสวนพบว่า ผู้ผลิตในทั้ง 4 ประเทศได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างไม่เป็นธรรม และส่งออกสินค้าในราคาต่ำกว่าทุน (หรือ “การทุ่มตลาด”) ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้ภาษีดังกล่าวยังต้องรอการตัดสินขั้นสุดท้ายจากคณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (US International Trade Commission : USITC) ซึ่งคาดว่าจะประกาศผลภายในเดือนหน้า ว่าการนำเข้าดังกล่าวสร้างความเสียหาย หรือคุกคามอุตสาหกรรมภายในประเทศหรือไม่

ทั้งนี้ อัตราภาษีนำเข้าที่ประกาศมีรายละเอียด ดังนี้:

  • มาเลเซีย: 4% (รวมภาษีทุ่มตลาดและเงินอุดหนุน)
  • ไทย: 2%
  • เวียดนาม: 9%
  • กัมพูชา: 3,521% (เนื่องจากผู้ผลิตไม่ให้ความร่วมมือกับการสอบสวนของสหรัฐฯ)

ความเห็นของสำนักงานฯ

  1. การที่สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าแผง Solar Cell จากกัมพูชาในอัตราสูงถึง 3,521% ถือเป็นมาตรการที่รุนแรง และส่งผลกระทบอย่างหนักต่ออุตสาหกรรมการผลิตและการส่งออกของกัมพูชาโดยตรง นอกจาก จะสะท้อนถึงความตึงเครียดทางการค้าแล้ว ยังอาจส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อการจ้างงานและเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น
  2. สาเหตุหลักที่กัมพูชาถูกเก็บภาษีในอัตราสูงมาก เนื่องจาก ผู้ผลิตในประเทศไม่ให้ความร่วมมือกับการสอบสวนของสหรัฐฯ ซึ่งไม่เพียงสร้างความเสียเปรียบในการแข่งขันทางการค้า แต่ยังทำให้เกิดภาพลักษณ์ในทางลบต่อภาคอุตสาหกรรมของกัมพูชาในเวทีการค้าระหว่างประเทศ

ทั้งนี้ หากรัฐบาลกัมพูชาไม่ปรับปรุงระเบียบข้อบังคับ มาตรฐานความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจหรือพัฒนากลไกความร่วมมือด้านกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศ กัมพูชาอาจเผชิญกับข้อจำกัดทางการค้าจากประเทศคู่ค้าอื่นในอนาคตด้วย อย่างไรก็ตาม คาดว่ารัฐบาลกัมพูชาจะเร่งเจรจากับประเทศสหรัฐฯ โดยเร็ว เพื่อบรรเทาความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับภาคอุตสาหกรรมของกัมพูชา ต่อไป

ที่มา: CC-TIMES, Phnom Penh Post & Khmer Times

 เมษายน 2025

jaJapanese