ตลาดคุกกี้ของสหรัฐอเมริกากำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา คาดว่ามูลค่าการจำหน่ายจะเพิ่มขึ้นจาก 12,071.79 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2566 เป็น 14,254.57 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2571 โดยมีการขยายตัวเฉลี่ย 3.38% ในช่วงระหว่างปี 2566-2571
ความต้องการผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ที่เพิ่มขึ้นของประชากรเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันการเติบโตของตลาด นอกจากนี้ ไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค อีกทั้งการผลิตคุกกี้เพื่อสุขภาพปราศจากกลูเตนที่เพิ่มมากขึ้นเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นการเติบโตของตลาด

ภาพรวมตลาดผลิตภัณฑ์คุกกี้ในสหรัฐฯ
คุกกี้ เป็นผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ประเภทหนึ่ง เป็นขนมประเภทอบที่มีส่วนผสมของน้ำตาลหรือปราศจากน้ำตาล น้ำมันหรือไขมัน แป้ง ลูกเกด ช็อกโกแลตชิพ ข้าวโอ๊ต ถั่ว และอื่นๆ เพื่อเพิ่มอรรถรส คุกกี้อบสดใหม่มักมีจำหน่ายที่ร้านเบเกอรี่ และคุกกี้ที่ผลิตจากโรงงานมักวางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อหรือร้านขายของชำ
ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ความต้องการคุกกี้เพิ่มขึ้นคือ จำนวนคนที่ทำงานจากที่บ้านเพิ่มขึ้นในช่วงล็อกดาวน์ ผู้คนต่างกักตุนวัตถุดิบหลักที่รับประทานในชีวิตประจำวัน เช่น คุกกี้และบิสกิต เนื่องจากประชากรชาวอเมริกันส่วนใหญ่ รับประทานคุกกี้และบิสกิตเป็นประจำ ตั้งแต่รับประทานเป็นของหวาน จนถึงรับประทานเป็นอาหารทานเล่นหรือแม้แต่หลังจากออกกำลังกาย

อีกทั้ง นวัตกรรมการผลิตที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปในตลาดทั่วโลก ผู้ผลิตต่างนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายเพิ่มขึ้น ซึ่งรวมถึงรสชาติที่สดใหม่ ส่วนผสมที่ปลอดภัย และบรรจุภัณฑ์ที่ดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค ส่งผลให้ผู้บริโภคผลิตภัณฑ์คุกกี้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นและราคาที่เกี่ยวข้องกับต้นทุนวัตถุดิบเป็นปัจจัยที่คาดว่าจะขัดขวางการเติบโตของตลาด
คุกกี้ในสหรัฐฯ มีลักษณะหลายประเภท อาทิเช่น บาร์คุกกี้ (Bar Cookies) ดรอปคุกกี้ (drop cookies) คุกกี้ปั้น (Molded Cookies) คุกกี้ม้วน (Rolled Cookies) และอื่นๆ โดยบาร์คุกกี้ (Bar Cookies) ครองส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดในปี 2562 และคาดว่าจะมีแนวโน้มที่จะครองส่วนแบ่งในตลาดมากที่สุดในช่วงปี 2566 ถึง 2573 ตามด้วยดรอปคุกกี้ (drop cookies) คุกกี้ปั้น (Molded Cookies) คุกกี้ม้วน (Rolled Cookies) ตามลำดับ
ช่องทางจำหน่าย
ช่องทางการจัดจำหน่ายของคุกกี้ในสหรัฐฯ แบ่งออกเป็น ร้านค้าปลีกเฉพาะทาง ร้านค้าปลีกออนไลน์ ไฮเปอร์มาร์เก็ต/ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ และอื่นๆ โดยร้านค้าปลีกเฉพาะทางครองส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดในปี 2562 และคาดว่าจะมีแนวโน้มที่จะครองส่วนแบ่งในตลาดมากที่สุดในช่วงปี 2566 ถึง 2573 กลุ่มไฮเปอร์มาร์เก็ต/ซูเปอร์มาร์เก็ตคาดการ์ณว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
บริษัทคู่แข่งที่สำคัญในตลาดสหรัฐฯ ได้แก่ บริษัท The Campbell Soup Company บริษัท The Kellogg Company บริษัท PepsiCo Inc บริษัท Nestlé S.A. บริษัท Britannia Industries Ltd บริษัท Mondelez International Inc บริษัท Danone S.A. บริษัท Grupo Bimbo บริษัท S.A.B. de C.V. บริษัท Parle Products Private Limited และบริษัท Kraft Foods เป็นต้น
• ในเดือนสิงหาคม 2564 บริษัท Obvi และ Grupo Bimbo ร่วมมือกันผลิต Super Collagen Protein Powder Chocolate Chip Cookie วางจำหน่ายในตลาดอเมริกาภายใต้แบรนด์ Entenmann ที่บริษัท Grupo Bimbo เป็นเจ้าของ โดยวางจำหน่ายในราคา 44.99 เหรียญสหรัฐสำหรับแพ็คขนาด 384 กรัม โดยวางจำหน่ายผ่านร้านค้าออนไลน์ MyObvi.com
ตลาดคุกกี้ของสหรัฐอเมริกา
Super Collagen Protein Powder Chocolate Chip Cookie

• ในเดือนมกราคม 2565 องค์กร Girl Scouts ของสหรัฐอเมริการ่วมมือกับ DoorDash บริษัทที่ให้บริการจัดส่งสินค้าอาหารตามบ้าน ทำการตลาดสินค้าคุกกี้ทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์

ตลาดคุกกี้ของสหรัฐอเมริกา

Girl Scouts x DoorDash
การนำเข้าคุกกี้ของสหรัฐฯ (HS : 190531)

ในปี 2565 สหรัฐอเมริกานำเข้าคุกกี้จากทั่วโลกเป็นมูลค่า 2,010.3 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยนำเข้าจากประเทศเม็กซิโกเป็นอันดับที่ 1 มูลค่าการนำเข้า 1,004.9 ล้านเหรียญสหรัฐ นำเข้าจากประเทศแคนาดาเป็นลำดับที่ 2 มูลค่าการนำเข้า 535.3 ล้านเหรียญสหรัฐ นำเข้าจากประเทศฝรั่งเศลเป็นลำดับที่ 3 มูลค่าการนำเข้า 60.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นำเข้าจากประเทศเดนมาร์กเป็นลำดับที่ 4 มูลค่าการนำเข้า 53.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นำเข้าจากสหราชอาณาจักรเป็นลำดับที่ 5 มูลค่าการนำเข้า 48.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และนำเข้าจากประเทศไทยเป็นอันดับที่ 15 มูลค่าการนำเข้า 13.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
Source of data: U.S. Department of Commerce, Bureau of Census
ความคิดเห็นของสคต.นิวยอร์ก
การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการผลิตจะเป็นตัวเชื่อมโยงไปถึงอีกหนึ่งกุญแจสำคัญของแต่ละแบรนด์ที่จะได้ครองส่วนแบ่งในตลาด โดยการผลิตและนำเสนอรสชาติใหม่ที่แปลกใหม่ ให้เป็นตัวเลือกที่หลากหลายต่อผู้บริโภคนั้นเป็นสิ่งสำคัญ รองลงมาคือ ความคุ้มค่า ผู้บริโภคต่างมองหาสินค้าที่มีคุณภาพสูง ราคาและปริมาณที่ได้รับนั้นเหมาะสมและคุ้มค่าจากผลิตภัณฑ์นั้นๆ ผู้ประกอบไทยสามารถสร้างโอกาสให้กับสินค้าไทย โดยการศึกษาและทำความเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคในสหรัฐฯ พัฒนานวัตกรรมในการผลิตสินค้าให้สอดคล้องกับเทรนด์ความต้องการของบริโภค

แหล่งที่มาของข้อมูล: https://www.verifiedmarketresearch.com/product/us-cookies-market/
และสคต. นิวยอร์ก
7 มิ.ย. 2566

thThai