เนื้อหาสาระข่าว: ตามเนื้อข่าวที่มีภาพและคลิปของผู้คนเชื้อสายอินเดียในสหรัฐฯ เข้าแถว แย่งชิงซื้อข้าวและขนถุงข้าวเต็มรถเข็นตามซุปเปอร์มาร์เก็ตของชาวอินเดียและในห้าง Costco ซึ่งเป็นห้างขายปลีกขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ที่แชร์กันอยู่จำนวนมากในสื่อสังคมออนไลน์ขณะนี้ และจากการสัมภาษณ์พบว่ามีบางรายเพิ่งจะทราบข่าวเมื่อเห็นปฏิกิริยาของผู้บริโภคตามห้างร้านดังกล่าว และบางรายต้องซื้อข้าวถุงในราคาที่แพงกว่าปกติถึง 3 เท่า ภายหลังจาก Narendra Modi นายกรัฐมนตรีของอินเดียมีคำสั่งห้ามส่งออกข้าวทุกประเภท ยกเว้นแต่ข้าว Basmati เพื่อต้องการให้มีปริมาณข้าวเพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศและรักษาระดับราคาข้าวในประเทศให้คงที่หลังจากพบว่าปริมาณข้าวที่เก็บเกี่ยวมีปริมาณลดลงมาก ทั้งนี้ เชื่อกันว่าเหตุผลหนึ่งในการตัดสินใจออกมาตรการระงับการส่งออกข้าวของนายกรัฐมาตรีอินเดียมีปัจจัยของการเลือกตั้งใหญ่ในปีหน้าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยประเทศอินเดียถือว่าเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งปริมาณการส่งออกข้าวของอินเดียที่ไม่รวมข้าว Basmati คิดเป็น 1 ใน 4 ของปริมาณการส่งออกข้าวทั้งหมด
บทวิเคราะห์: สถิติจาก Global Trade Atlas ตลาดข้าวทั่วโลกมีมูลค่าการส่งออกโดยรวมอยู่ที่ประมาณ 30.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่ปี 2018 แล้วขยายตัวต่อเนื่องจนถึง 34.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2021 แม้ว่า ในปี 2022 มูลค่าการส่งออกรวมจะมีการหดตัวลงเล็กน้อยประมาณร้อยละ 2.86 และในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ก็มีการหดตัวลงกว่าปกติอยู่ที่ร้อยละ 8.32 ขณะที่ยอดการส่งออกข้าวทั้งของไทยและอินเดียยังขยายตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 32.24 และ 15.43 ตามลำดับ
จากสถิติมูลค่าการส่งออกข้าวทั่วโลกล่าสุดในปี 2022 ตลาดข้าวโลกมีมูลค่ารวมประมาณ 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐนั้น เป็นมูลค่าการส่งออกข้าวของอินเดียอยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 32.1 หรือเกือบ 1 ใน 3 ของมูลค่าการส่งออกของตลาดข้าวโลก โดยแยกเป็นข้าว Basmati มูลค่า 4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (13.4%) และข้าวชนิดอื่นๆ มูลค่า 6.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (18.7) เทียบกับเวียดนามซึ่งมีมูลค่าการส่งออกข้าวรวมถึง 4.85 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นลำดับที่ 2 รองจากอินเดีย ครองส่วนแบ่งร้อยละ 14.4 ในขณะที่ไทยมีมูลค่าการส่งออกประมาณ 3.94 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงเป็นลำดับถัดมาครองสัดส่วนร้อยละ 11.7 ของมูลค่าข้าวในตลาดโลก
พิจารณาจากปริมาณการส่งออกข้าวในตลาดโลกซึ่งมีขนาดประมาณ 48.4 ล้านตัน อินเดียมีปริมาณการส่งออกข้าวรวมในสัดส่วนที่สูงถึงเกือบครึ่งหนึ่งหรือร้อยละ 46 หรือเท่ากับประมาณ 22.25 ล้านตัน แยกเป็นข้าว Basmati 4.4 ล้านตัน (9.1%) และข้าวอื่นๆ 17.8 ล้านตัน (36.9%) ซึ่งหากมาตรการห้ามส่งออกข้าวของอินเดียมีผลกับข้าวทุกชนิด เว้นแต่ข้าว Basmati ก็อาจกล่าวได้ว่าจะมีปริมาณข้าวในตลาดโลกลดลงถึงเกือบร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับปริมาณการส่งออกข้าวของประเทศไทยที่นำเวียดนามขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับ 2 ด้วยปริมาณการส่งออกรวม 7.7 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 15.9 ตามมาด้วยเวียดนามที่ส่งออก 4.8 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 10 ของปริมาณการส่งออกข้าวทั่วโลก
ทั้งนี้ หากอินเดียยังคงมาตรการห้ามการส่งออกนี้ต่อไปในระยะยาว จะส่งผลต่อปริมาณข้าวส่งออกในตลาดโลกลดลงกว่า 1 ใน 3 ซึ่งในระยะใกล้ย่อมส่งผลทางจิตวิทยาต่อราคาข้าวในตลาดโลกที่จะปรับตัวสูงขึ้นและ ถ้าหากแหล่งผลิตข้าวอื่นๆ ของโลกมีการรายงานผลการเก็บเกี่ยวข้าวได้ลดลงรวมไปถึงมีการออกมาตรการจำกัดการส่งออกข้าวเพิ่มเติมจากแหล่งผลิตหลักอื่นๆ ก็จะทำให้สถานการณ์ข้าวในตลาดโลกมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารของโลกซ้ำเติมเพิ่มจากสถานการณ์ขาดแคลนข้าวสาลี ที่กำลังเผชิญอยู่ขณะนี้อันเกิดจากการสู้รบระหว่างรัสเซียกับยูเครนและการยกเลิกข้อตกลงสามฝ่ายของรัสเซียในการอนุญาตให้ยูเครนซึ่งเป็นแหล่งผลิตข้าวสาลีที่สำคัญมากแหล่งหนึ่งของโลกสามารถส่งออกธัญญพืชผ่านทางทะเลดำไปยังประเทศอื่นๆ ได้ และอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ราคาข้าวในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา
อีกประเด็นหนึ่งที่ต้องนำมาประกอบการพิจารณาคือปริมาณการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นประเทศผู้นำเข้าข้าวจากทั่วโลกมากที่สุดของโลก หากความต้องการข้าวของตลาดสหรัฐฯ ไม่ขยับเพิ่มมากขึ้น อาจจะด้วยสาเหตุปริมาณผลผลิตข้าวในสหรัฐมีเพิ่มมากขึ้น รวมถึงปริมาณการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศของสหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมามีมากกว่าความต้องการ (over stock) ซึ่งอาจจะด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เองที่ลดปริมาณการบริโภคข้าว ส่งผลให้สต๊อกข้าวต้นปีของสหรัฐฯ ยังพอมีเหลืออีกระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ราคาข้าวในตลาดโลกอาจจะไม่ขยับตัวเพิ่มสูงขึ้นได้มากในระยะเวลาสั้น จนกว่าจะมีการสั่งซื้อข้าวเพิ่มจากตลาดสหรัฐฯ อีกครั้งซึ่งคาดการณ์ว่าจะเป็นช่วงก่อนปลายปีนี้ ซึ่งขณะนี้ผู้นำเข้าจากทุกตลาดกำลังติดตามสถานการณ์ข้าวในตลาดโลกอย่างใกล้ชิด
ประเด็นสุดท้ายที่มีการตั้งข้อสังเกตคือ ราคาส่งออก จะเห็นได้ว่าก่อนที่จะมีคำสั่งห้ามการส่งออกข้าวของอินเดีย ข้าวชนิดอื่นๆ ที่อินเดียประกาศห้ามส่งออกเกือบทั้งหมดเป็นข้าวที่มีราคาขายต่ำกว่าข้าว Basmati และราคาเฉลี่ยต่อกิโลกรัมในปีที่ผ่านมามีแนวโน้มปรับตัวลดลง ขณะเดียวกันปริมาณการส่งออกปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (เว้นแต่เพียงข้าวเปลือกที่เป็นเมล็ดพันธุ์ซึ่งปริมาณการส่งออกเป็นหลักไม่กี่หมื่นตันเท่านั้น) แล้วในปี 2022 ปริมาณส่งออกของข้าวชนิดอื่นๆ ก็เริ่มชะลอการขยายตัว และที่น่าสังเกตว่าก่อนหน้านี้ข้าว Basmati มีแนวโน้มราคาตกลงอย่างต่อเนื่องและมากระเตื้องขึ้นในปี 2022 เมื่อการขยายตัวของปริมาณการส่งออกข้าวอื่นๆ ชะลอตัวลง ซึ่งมีแนวโน้มว่าหากข้าวปริมาณมากขนาดนี้หายไปจากตลาดโลก ราคาข้าวทุกชนิดน่าจะพุ่งสูงขึ้นตามกลไกตลาดเพื่อรักษาดุลของระดับอุปสงค์และอุปทาน
ข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ: จากการติดตามสถานการณ์ข้าวในพื้นที่บริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศสหรัฐฯ โดยการสืบตลาดในห้างขายสินค้าที่เป็นที่นิยมของผู้บริโภคชาวฮีสแปนิกซึ่งมีพฤติกรรมการบริโภคข้าวเช่นเดียวกับชาวเอเชีย เช่น ห้าง Sedanos และห้างขายสินค้าประเภท main stream เช่น Publix รวมทั้งจากการสอบถามผู้นำเข้าข้าวในพื้นที่ ทราบว่ายังไม่เกิดปัญหาข้าวในพื้นที่มีไม่เพียงพอหรือขาดตลาด และยังไม่มีคำสั่งซื้อเข้ามาเพิ่มเติมมากกว่าปกติเนื่องจากยังมีข้าวในสต๊อกเพียงพอจนถึงช่วงปลายปี โดยคาดว่าผู้นำเข้าอาจจะมีคำสั่งซื้อข้าวจากต่างประเทศเพิ่มเติมในช่วงก่อนปลายปี ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ราคาข้าวในตลาดโลกว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือไม่และมากน้อยเพียงใด ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามภาพข่าวอยู่ในมลรัฐเทกซัส และเป็นเหตุการณ์ระยะสั้นที่เกิดเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคชาวเอเชียกลางโดยเฉพาะชาวอินเดียที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงมากที่สุด ซึ่งเกิดจากพฤติกรรมการบริโภคข้าวที่ยึดติดอยู่กับลักษณะเฉพาะของข้าวที่บริโภคเป็นประจำ ส่วนระยะกลางและระยะยาว หากคำสั่งห้ามส่งออกข้าวของอินเดียยังมีผลต่อเนื่องจนข้าวที่นำเข้าจากอินเดียหมดลงหรือขาดตลาด และยังไม่มีปริมาณข้าวต่างประเทศเข้ามาทดแทนข้าวจากอินเดียในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งจะกระทบข้าวจากแหล่งผลิตอื่นตามมา ซึ่งจะมีผลทำให้ในระยะกลางราคาข้าวในตลาดสหรัฐฯ ทั้งระบบจะปรับตัวสูงขึ้นตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นเพื่อทดแทนข้าวจากอินเดีย และผลในระยะยาวเมื่อมีการสั่งซื้อข้าวจากต่างประเทศเข้ามาใหม่ ราคาข้าวในสหรัฐฯ จะปรับตัวไปตามราคาข้าวในตลาดโลกอีกครั้งหนึ่ง
จากการสืบตลาดพบว่าราคาข้าวขาวในเดือนกรกฎาคม 2566 ราคาเฉลี่ยขายปลีกอยู่ที่กิโลกรัมละ 1.45 ดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาเฉลี่ยข้าวบัสมาติขายปลีกอยู่ที่กิโลกรัมละ 3.22 ดอลลาร์สหรัฐฯ และราคาเฉลี่ยข้าวหอมขายปลีกอยู่ที่กิโลกรัมละ 4.49 ดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ในเดือนมีนาคม 2565 ราคาเฉลี่ยข้าวขาวขายปลีกอยู่ที่กิโลกรัมละ 1.32 ดอลลาร์สหรัฐฯ และราคาเฉลี่ยข้าวบาสมาติขายปลีกอยู่ที่กิโลกรัมละ 3.52 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะเห็นว่าราคาขายปลีกเปลี่ยนแปลงไม่มากนักในแต่ละชนิดข้าว
สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการในขณะนี้ คือ ต้องมีการสำรวจปริมาณผลผลิตที่แท้จริงของไทยและจากแหล่งผลิตข้าวสำคัญของโลก เช่น จีน เวียดนาม กัมพูชา บังคลาเทศ เป็นต้น ว่าผลผลิตข้าวในแต่ละพื้นที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยการเพาะปลูกต่างๆ หรือไม่ และมีปริมาณข้าวออกสู่ตลาดเท่าใด เพื่อประเทศไทยจะได้วางมาตรการในการป้องกันมิให้เกิดปัญหาการขาดแคลนข้าวในประเทศ และเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตลาดในต่างประเทศว่าจะสามารถส่งข้าวออกเพื่อแก้ไขปัญหาด้านความมั่นคงด้านอาหารของโลกได้
การที่นายกรัฐมนตรีของอินเดียมีคำสั่งยกเลิกการส่งออกดังกล่าวส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตข้าวในตลาดโลกและราคาข้าวตลาดโลกในอนาคต ซึ่งในปัจจุบันประเด็นดังกล่าวยังไม่พบว่ามีผลกระทบทั้งทางด้านปริมาณข้าวขาดตลาดและราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นในพื้นที่ ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะในเขตพื้นที่แถบนี้ มีชุมชนเชื้อสายอินเดียไม่มากนักและปัญหายังจำกัดอยู่เฉพาะในวงผู้บริโภคกลุ่มนี้ อีกทั้งการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศของสหรัฐฯ ก็ไม่ได้พึ่งพาแหล่งนำเข้าจากอินเดียเพียงแหล่งเดี่ยวแต่ยังมีแหล่งทางเลือกอื่นๆ ที่มีการนำเข้า เช่น ไทย และเวียดนาม เป็นต้น
******************************************************
ที่มา: The Independent เรื่อง: “People seen panic-buying rice as stores run out in US after India announces export ban” โดย: Maroosha Muzaffar สคต. ไมอามี /วันที่ 27 กรกฎาคม 2566