ในช่วงที่ผ่านมาในปี 2565 จนถึงต้นปี 2566 ชาวเช็กมีความกังวลในสถานการณ์เศรษฐกิจด้วยอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น แต่รายงานข้อมูลล่าสุดของสำนักงานสถิติแห่งสาธารณรัฐเช็กระบุว่า ชาวเช็กเริ่มมีความเชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจในประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยภาคครัวเรือนคาดว่าในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจะยังคงหดตัว แต่จะหดตัวลงน้อยกว่าช่วงเดียวกันเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งนับว่าเป็นสัญญานที่ดี ที่แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคในสาธารณรัฐเช็กมีความมั่นใจในภาวะเศรษฐกิจของประเทศ
มากขึ้น
ที่ผ่านมาในช่วงฤดูร้อนของปี 2565 ผู้คนมีความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับราคาก๊าซและราคาพลังงาน
แต่ในปีนี้ผู้บริโภคมีความกังวลน้อยกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อนั้นลดต่ำลงกว่าปีที่แล้วเป็นอย่างมาก รวมถึงในปี 2565 ที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อเศรษฐกิจของประเทศอยู่ในระดับต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ อันเนื่องมาจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์สงครามในยูเครน และจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น
สำหรับในช่วงครึ่งปีแรก สาธารณรัฐเช็กมีหนี้เพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์มากกว่า 3 ล้านล้านเช็กคราวน์ หรือ 1.25 แสนล้านยูโร ซึ่งเกินกว่า 3 ล้านล้านเช็กคราวน์เป็นครั้งแรก โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมามีหนี้เพิ่มขึ้น 149.6 พันล้านเช็กคราวน์ ตามข้อมูลของกระทรวงการคลังเช็ก ในช่วงครึ่งแรกของปี สัดส่วนหนี้สินอยู่ที่ร้อยละ 42.8 ในผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ซึ่งสูงกว่าปลายปีที่แล้วร้อยละ 0.1 ซึ่งหมายถึงชาวเช็กจะเป็นหนี้คนละ 280,574 คราวน์
นอกจากนี้ในรายงานของกระทรวงการคลังยังระบุสาเหตุหลักที่ทำให้หนี้ของรัฐเพิ่มมากขึ้น คือการขายพันธบัตรของรัฐและตั๋วเงินคลัง เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณของรัฐ ในช่วงครึ่งแรกของปีที่ มีการขาดดุลงบประมาณอยู่ที่ 215.4 พันล้านคราวน์
ทางด้านคณะกรรมการงบประมาณแห่งชาติ (NRR) ได้เคยให้ความเห็นต่อคณะกรรมการงบประมาณ ว่าไม่ควรรับเงินกู้จากคณะกรรมาธิการยุโรป โดยเมื่อต้นปีนี้ ตัวเลขหนี้สินของประเทศอยู่ที่ 2.9 ล้านล้านเช็กคราวน์ ในเดือนมิถุนายน กระทรวงการคลังคาดว่าหนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 3.2 ล้านล้านเช็กคราวน์ ซึ่งอัตราส่วนของหนี้ควรอยู่ที่ร้อยละ 42.7 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ
สำหรับหนี้ของประเทศประกอบด้วยเงินกู้ของรัฐบาล และส่วนใหญ่เกิดจากการสะสมของการขาดดุลงบประมาณของรัฐ การออกตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล เงินกู้โดยตรง และเงินกู้ยืมจากธนาคารเพื่อการลงทุนของยุโรป ซึ่งรัฐบาลได้รับอนุมัติค่าใช้จ่ายในการชำระหนี้สูงถึง 69.2 พันล้านคราวน์
ข้อเสนอแนะ/โอกาส/แนวทาง
สถานการณ์ภาพรวมเศรษฐกิจของสาธารณรัฐเช็กในช่วงไตรมาสนี้ เริ่มปรากฏสัญญาณในทิศทางบวก ด้วยตัวเลขเงินเฟ้อลดลงต่อเนื่อง ทำให้ผู้บริโภคเริ่มมีความมั่นใจ และเริ่มจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นบ้าง เนื่องจากราคาสินค้าบางชนิดและราคาพลังงานปรับลดลง อย่างไรก็ดี พบว่าหลายฝ่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในส่วนของหน่วยงานภาครัฐ ยังคงมีความกังวลต่อสถานการณ์ภาวะหนี้สินของประเทศ เนื่องจากช่วงที่ผ่านมา ได้มีการออกมาตรการด้านการเงินการคลัง การออกพันธบัตร และการกู้เงินเพิ่มขึ้น จึงทำให้หลายฝ่ายกังวลเกี่ยวกับหนี้ของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนค่อนข้างมาก
สถานการณ์ภาระหนี้สิน รวมถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจของสาธารณรัฐเช็กในช่วงเวลานี้ จะยังส่งผลต่อความเชื่อมั่นของทั้งนักลงทุนทั้งในประเทศและจากต่างประเทศ ที่ยังคงลังเลในการลงทุน ซึ่งรวมถึงกิจกรรมเศรษฐกิจการค้าอื่น ๆ ที่ยังผู้ค้าน่าจะยังไม่เสี่ยงในการเพิ่มขยายการดำเนินธุรกิจ อย่างไรก็ดี ยังมีสัญญาณบวกที่ผู้บริโภคเริ่มผ่อนคลายความกังวล เนื่องจากราคาสินค้าและราคาพลังงานลดลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งออกไทยควรตรวจสอบและปรับแผนธุรกิจให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ยังคงมีความไม่แน่นอน โดยต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ขิด เพื่อลดความเสี่ยง ทั้งในเรื่องสถานการณ์สงคราม รวมถึงราคาพลังงาน การนำเสนอสินค้าหรือบริการที่หลากหลาย โดยร่วมมือกับผู้ประกอบการท้องถิ่น การหาแนวทางลดต้นทุน ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ จะช่วยสร้างโอกาสทางการตลาดในช่วงที่สถานการณ์ยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนในช่วงเวลานี้
***************************************
ที่มา : Prague Morning สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงปราก