เยอรมนีเตรียมเงิน 2.12 แสนล้านยูโร เพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างการใช้พลังงานที่ยั่งยืน

นโยบายการเปลี่ยนรูปแบบการใช้พลังงาน (Energiewende) ของเยอรมนีที่พยายามที่จะเปลี่ยนระบบการใช้พลังงานจากฟอสซิลหรือนิวเคลียร์ที่เป็นอยู่ ไปใช้ระบบพลังงานที่ยั่งยืนและ นับตั้งแต่ปีนี้ไปจนถึงปี 2027 รัฐบาลเยอรมันได้เตรียมงบประมานไว้กว่า 2.12 แสนล้านยูโร เพื่อใช้กับนโยบายดังกล่าว โดยเน้นผลักดันให้ภาคเศรษฐกิจปรับโครงสร้างและส่งเสริมให้มีการลงทุนใหม่ ๆ ซึ่งเงินก้อนนี้เป็นของกองทุนรวมเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  (KTF – Klima- und Transformationsfonds) ที่เพิ่งจะได้ข้อยุติไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ด้านนาย Christian Lindner รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สังกัดพรรคเพื่ออิสรภาพและประชาธิปไตย (FDP – Freie Demokratische Partei) เปิดเผยว่า “ขณะนี้เยอรมนีกำลังวางรากฐานลดการสร้างคาร์บอน (Decarbonization) และปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิตอล (Digitalization) โดยตั้งเป้าที่จะสามารถเจริญเติบโตได้ด้วยตัวเอง แบบที่จะไม่ทิ้งผู้คนและบริษัทใดไว้เพียงลำพัง และร่วมกันเปลี่ยนแปลงระบบการใช้พลังงานทั้งระบบไปด้วยกัน” นอกจากนี้ ยังกำหนดให้มีการปรับเพิ่มราคาค่าการปล่อย CO2 จากเดิม 30 ยูโร/ตัน เป็น 40 ยูโร/ตัน ในปี 2024 และปรับเพิ่มเป็น 60 ยูโร/ตัน ในปี 2026 ซึ่งเรื่องนี้จะทำให้ ราคาน้ำมันและการใช้แก๊สหรือน้ำมันเพื่อทำความร้อนจะมีราคาเพิ่มสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งนาย Lindner ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “การปรับอัตราค่าการปล่อย CO2 นี้เหมาะสมแล้ว โดยสอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน” ในขณะเดียวกันรัฐบาลเยอรมันได้เตรียมเงินเพื่อปรับปรุงบริษัทการรถไฟเยอรมัน (Deutsche Bahn) ไว้ด้วย ซึ่งใช้เงินสูงถึง 4.5 หมื่นล้านยูโร และถือว่า KTF ได้ให้เงินอุดหนุนสูงที่สุดในประวัติการณ์

KTF เป็นกองทุนพิเศษของรัฐบาลเยอรมัน โดยมีจุดเด่นสำคัญ คือ ไม่มีข้อผูกพันกับการรักษางบประมาณให้มีความสมดุล (Balanced Budget Amendment) ที่ถูกระบุไว้ในกฎหมายของเยอรมันในชื่อ

“Schuldenbremse (เหยียบเบรกการสร้างหนี้)” และกองทุน KTF นี้ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2010 โดยขณะนั้น กลุ่มสหภาพซึ่งประกอบด้วยพรรค CDU – Christlich Demokratische Union Deutschlands (พรรคสหภาพคริสต์เตียนเพื่อประชาธิปไตยประเทศเยอรมนี) และพรรค CSU – Christlich-Soziale Union in Bayern (พรรคสหภาพสังคมนิยมคริสต์เตียนแห่งนครรัฐบาวาเลีย) ได้จัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรค FDP และพยายามที่จะระดมเงินทุนเพื่อสนับสนุนนโยบาย Energiewende ซึ่งกองทุน KTF นี้ได้พัฒนาและปรับปรุงมาตามลำดับจนล่าสุด ภายหลังการเลือกตั้งได้เสร็จสิ้นลง นาย Lindner ก็ได้นำเงินช่วยเหลือจากวิกฤตการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังคงเหลืออีกกว่า 6 หมื่นล้านยูโร เข้าไปสมทบไว้ในกองทุนนี้ และรายได้อีกส่วนหนึ่งของกองทุนนี้ก็มาจากเงินจากการซื้อขายคาร์บอนเครดิต (Emissionshandel) ระดับประเทศกับการกำหนดค่าการปล่อย CO2 ของสหภาพยุโรป ปัญหาสำคัญของกองทุนนี้ ก็คือ ค่าใช้จ่ายที่รัฐบาลชุดนี้ตั้งไว้สูงกว่ารายรับของกองทุน ซึ่งจะทำให้ KTF ขาดเงินทุนหมุนเวียนในปี 2026 และ 2027 อย่างไรก็ตาม เงินส่วนหนึ่งที่วางแผนจะนำมาใช้ก็ไม่ได้ถูกนำมาใช้ ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2023 มีเงินในกองทุนเหลือถึง 7 พันล้านยูโร ที่ทำให้รัฐบาลสามารถนำมาสมทบเพื่อใช้ในปี 2024 ได้ ซึ่งในปี 2024 มีการวางแผนที่จะใช้เงินจากกองทุน KTF ทั้งสิ้น 5.8 หมื่นล้านยูโร หรือมากกว่าที่เคยใช้ในปี 2023 ถึง 2.2 หมื่นล้านยูโร สำหรับ แผนที่รัฐบาลเยอรมันจะใช้เงินกองทุน KTF นี้ ประกอบด้วย

 

  1. ช่วยเหลือการเปลี่ยนเครื่องทำความร้อน (หรือ Heater) 7 หมื่นล้านยูโร

ใช้สำหรับการปรับโครงสร้างการใช้พลังงานไฟฟ้าในครัวเรือน โดยในปี 2024 ตั้งเป้าใช้เงินสูงถึง 1.88 หมื่นล้านยูโร กับ “กองทุนเพื่ออาคารประหยัดพลังงาน” ทั้งนี้ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคเปลี่ยนเครื่องทำความร้อนในบ้านจากเดิมที่ใช้ระบบน้ำมันหรือแก๊ส มาเป็นเครื่องทำความร้อนที่ใช้พลังงานทางเลือก อาทิ ระบบปั๊มความร้อนไฟฟ้า (Heat Pump) แทน ซึ่งแนวคิดนี้จะมีการให้เงินช่วยเหลือขั้นพื้นฐานสำหรับพลเมืองทุกคนในพื้นที่อยู่อาศัย และให้เงินอุดหนุนเพิ่มเติม 3 รายการ เงินอุดหนุนพื้นฐานจะเริ่มต้นที่ 30% แต่จะสามารถขอเงินอุดหนุนเพิ่มเติมได้ในบางกรณี โดยรัฐบาลอาจให้การช่วยเหลือมากถึง 70% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด ซึ่งโดยรวมมีการวางงบประมาณที่ใช้สำหรับปรับปรุงสิ่งปลูกสร้างจนถึงปี 2027 ที่ 6.1 หมื่นล้านยูโร

 

  1. ช่วยเหลือบริษัทการรถไฟเยอรมัน (Deutsche Bahn)25 หมื่นล้านยูโร

รัฐบาลจะให้เงินสนับสนุน Deutsche Bahn เพื่อซ่อมแซมเครือข่ายรางรถไฟในประเทศ โดยเงินที่จะให้การสนับสนุนนี้ถือว่าน้อยกว่าที่ Deutsche Bahn ได้เคยร้องขอ ซึ่งในช่วงต้นปีที่ผ่านมา Deutsche Bahn ได้เคยขอเงินสนับสนุนช่วงปี 2024 – 2027 วงเงิน 4.5 หมื่นล้านยูโร แต่ได้รับเงินสนับสนุนจำนวน 2.4 หมื่นล้านยูโรเท่านั้น ซึ่งเป็นเงินที่ได้มาจาก KTF 1.25 หมื่นล้านยูโร และอีก 1.15 หมื่นล้านยูโร ที่มาจากงบประมาณของประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเงินที่ได้มาจากค่าการปล่อยแก๊ส CO2 ของพวกรถบรรทุกที่ผ่านค่าทางด่วน อย่างไรก็ดี เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมาก เพราะเงินที่ได้จากค่าธรรมเนียมนี้น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ (1.9 หมื่นล้านยูโร) และจากข้อมูลวงในทราบว่า Deutsche Bahn ได้ออกมาเรียกร้องขอเงินจากรัฐบาลเยอรมันเพิ่มอีก 4.5 หมื่นล้านยูโร เพื่อใช้โครงสร้างเส้นทางเดินรถสายใหม่ หรือโครงการปรับตัวสู่ยุคดิจิตอล (Digitalization) ของบริษัท ซึ่งเงินดังกล่าวจะใช้สำหรับการซ่อมแซมเครือข่ายรางรถไฟที่เก่าแก่ ต้องใช้เงินสูงถึง 2 หมื่นล้านยูโร

 

  1. เชื่อเหลือกลุ่มไมโครอิเล็กทรอนิกส์22 หมื่นล้านยูโร

นับเป็นครั้งแรกที่ KTF ให้เงินสนับสนุนโครงการที่เกี่ยวข้องกับไมโครอิเล็กทรอนิกส์ ที่ผ่านมาเงินสนับสนุนการตั้งโรงงานชิปส่วนใหญ่จะมาจากเงินงบประมาณประเทศ แต่ตอนนี้จะเปลี่ยนมาอยู่กับ KTF แล้ว โดยมีการเตรียมเงินสนับสนุนสำหรับโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับไมโครอิเล็กทรอนิกส์จนถึงปี 2027 ไว้สูงถึง 1.22 หมื่นล้านยูโร ซึ่งเฉพาะปี 2024 วางแผนใช้เงิน 4 พันล้านยูโร ซึ่งกระทรวงเศรษฐกิจกล่าวว่า เงินก้อนนี้จะทำให้เรามั่นใจได้ว่าจะเกิดการลงทุนกับเทคโนโลยีหลัก (Key Technology) มากขึ้น และวางแผนใช้เงินดังกล่าวไปกับโครงการพัฒนาชิปกว่า 31 โครงการ ซึ่งจะได้รับเงินสนับสนุนผ่านกระบวนการ Important Project of Common European Interest (IPCEI) นอกจากนี้ KTF ยังมีสนับสนุนโครงการขนาดใหญ่กับบริษัท TSMC จำนวน 5 พันล้านยูโร, บริษัท Wolfspeed จำนวน 0.5 พันล้านยูโร, ขยายโรงงานของ Infineon จำนวน 1 พันล้านยูโร และเพิ่มเงินอุดหนุนให้แก่ Intel จำนวน 3.1 พันล้านยูโร พอนับรวมโครงการดังกล่าว ก็จะพบว่าเงินที่ต้องใช้เกินจำนวนเงินที่ทุน KTF เตรียมไว้ ถึง 1.4 พันล้านยูโร อย่างไรก็ดี อาจมีการเปลี่ยนจำนวนเงินลงทุน ซึ่งตอนนี้คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป (EU) กำลังเดินหน้าตรวจสอบโครงการ

 

  1. ช่วยเหลือด้านวัตถุดิบ4 พันล้านยูโร

นาย Habeck รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจฯ ถือเป็นหนึ่งในผู้ที่ออกมากดดัน KTF ให้เตรียมเงินสำหรับการช่วยเหลือในด้านวัตถุดิบ ภายใต้โครงการ “วัตถุดิบเพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนแปลง” โดยในปี 2024 KTF เตรียมเงินไว้สำหรับโครงการฯ จำนวน 24 ล้านยูโร โดยในปี 2029 จะใช้เงินจากกองทุน KTF มากถึง 355 ล้านยูโร กับเรื่องนี้ ซึ่งนาย Habeck ต้องการที่จะใช้เงินก้อนนี้ไปกับการสนับสนุนการพัฒนาแหล่งวัตถุดิบใหม่ ๆ เพื่อลดภาวะพึ่งพิงจีน และผลักดันการวิจัยในด้านการรีไซเคิลและเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ด้วย อย่างไรก็ตาม การจะใช้เงินจาก KTF เพียงแหล่งเดียวคงไม่เพียงพอ รัฐบาลจำเป็นต้องให้สถาบันสินเชื่อเพื่อการฟื้นฟูประเทศ (KfW – Kreditanstalt für Wiederaufbau) เป็นแกนนำหลักในการผลักดันให้ได้มายังวัตถุดิบจากแหล่งที่มาต่าง ๆ และจากข้อมูลของหนังสือพิมพ์ Handelsblatt พบว่า ด้วยข้อจำกัดด้านกฎหมาย จึงทำให้เงินลงทุนในตราสารทุน (Equity Instruments) จะต้องมาจากเงินงบประมาณโดยตรงเท่านั้น กระทรวงเศรษฐกิจฯ กำลังวางแผนที่จะปรับเปลี่ยนแผนการใช้งบประมาณของกระทรวงฯ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะดำเนินการจัดสรรงบประมาณของรัฐสภาในฤดูใบไม้ร่วงที่จะถึงนี้ โดยรวมแล้วทั้งเงินจาก 2 ส่วนจะทำให้เงินกองทุนดังกล่าวมีเงินในการจัดสรรรวมกัน 1 พันล้านยูโรโดยประมาณ

 

  1. ช่วยเหลือพลังงานไฮโดรเจน แผงโซล่า และค่าการจัดสรรพลังงานตามกฎหมายว่าด้วยเรื่องพลังงานทางเลือก (EEG-Umlage)

เงินก้อนใหญ่ของ KTF ส่วนหนึ่งจะนำไปพัฒนาเครือข่ายเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับไฮโดรเจน อาทิ  การสนับสนุนให้บริษัทผลิตเหล็กกล้าหันไปใช้แหล่งเชื้อเพลิงในการผลิตจากไฮโดรเจนแทน รวมไปถึงการผลักดันแผนไฮโดรเจนระดับชาติ (NWS – Nationale Wasserstoffstrategie) หรือการเตรียมเครือข่ายเพื่อตอบสนองความต้องการด้านไฮโดรเจน เป็นต้น โดยปี 2024 KTF ได้เตรียมเงินไว้แล้ว 3.8 พันล้านยูโร และในปี 2027 ได้เตรียมเงินไว้มากถึง 1.86 หมื่นล้านยูโร โดยการผลักดันด้านพลังงานทางเลือกนี้จะเลิกเก็บผ่าน EEG ก็ทำให้ KTF มีค่าใช้จ่ายปี 2024 สูงถึง 1.26 หมื่นล้านยูโร แต่เรื่องใหม่ในเรื่องดังกล่าวก็คือ เงินสนับสนุนให้เอกชนที่มีการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเปลี่ยนแปลง อย่างเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ (1) พลังงานลม (2) เซลล์แสงอาทิตย์ (3) อิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis) (4) เครือข่ายไฟฟ้า และ (5) ระบบปั๊มความร้อนไฟฟ้า (Heat Pump) เข้ามาลงทุนสร้างโรงงานในประเทศเยอรมนี เพื่อการนี้เตรียมเงินไว้ 1 พันล้านยูโรสำหรับปี 2024 โดยนาย Habeck รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจฯ ได้ออกมาประกาศไว้อย่างชัดเจนว่า จะมีการประกาศสัมปทานด้านเซลล์แสงอาทิตย์ในไม่ช้า และภาคเอกชนสามารถติดต่อแสดงความสนใจเข้ามาได้เลย

 

  1. ช่วยเหลือด้านความเสี่ยงจากศาลรัฐธรรมนูญ

โครงการการใช้เงินต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้อาจจะมีปัญหาได้ โดย Union (ฝ่ายค้านในปัจจุบัน) ออกมาประกาศว่า จะร้องเรียงศาลรัฐธรรมนูญว่า นาย Lindner ใช้เงิน 6 หมื่นล้านยูโร ที่เหลือจากเงินกู้ในช่วงโควิด-19 ผิดวัตถุประสงค์ ทำให้กองทุน KTF ต้องนำเงินก้อนนี้ไปเก็บสำรองไว้ก่อน Union ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า แผนจำนวนหนึ่งของรัฐบาลในการใช้เงินของกองทุน KTF ไม่ถูกต้องและผิดกับกฎหมาย Schuldenbremse (เหยียบเบรกการสร้างหนี้) อีกด้วย อย่างไรก็ตามคณะรัฐบาลก็เชื่อว่า ได้ทำถูกต้องกฎหมายและไม่เห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะมายกเลิกแผนการใด ๆ อาจจะเป็นไปได้ที่ผู้พิพากษาอาจจะออกมาบังคับให้การใช้เงินจากกองทุน KTF “ผูกพันกับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างระบบและการอนุรักษ์สภาวะอากาศ” มากขึ้น

 

จาก Handelsblatt 25 สิงหาคม 2566

 

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงเบอร์ลิน (Thanit Hirungitrungsri)

thThai