ภาพรวมตลาดสินค้ากระเป๋าถือในตลาดโลกและสหรัฐอเมริกา

ในปี 2565 กระเป๋าถือทั่วโลกมีมูลค่าทางการตลาดอยู่ที่ประมาณ 73,320 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าระหว่างปี 2566 ถึง 2573  จะมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 6.8

ผู้หญิงนับเป็นผู้ซื้อหลักที่มีผลต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ผู้หญิงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการทำงานนอกบ้านมากขึ้น และในบทบาทที่หลากหลาย ตั้งแต่ผู้บริหารองค์กรไปจนถึงผู้ประกอบการ การมีส่วนร่วมที่เพิ่มขึ้น

นี้ผลักดันให้เกิดความต้องการกระเป๋าถือและเครื่องประดับต่างๆ เพิ่มขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้หญิงวัยทำงาน โดยปัจจุบัน กระเป๋าถือได้กลายมาเป็น 1 ใน สิ่งของสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้หญิงวัยทำงานในยุคนี้ไปแล้ว

ผู้หญิงวัยทำงานยุคใหม่ มองหากระเป๋าถือที่ผสมผสานระหว่างสไตล์และการใช้งานได้จริง ทำให้การเลือกซื้อกระเป๋าถือมีความสำคัญที่จะต้องเลือกให้เหมาะสมกับชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่างเช่น กระเป๋าถือที่สามารถใส่อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานได้ เช่น แล็ปท็อป เอกสาร และสมุดโน๊ตต่างๆ รวมถึงสิ่งของจำเป็นส่วนตัว เช่น กระเป๋าสตางค์ เครื่องสำอาง และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก เป็นต้น

ตลาดอเมริกาเหนือ ภายในปี 2573 คาดว่าจะมีมูลค่าทางการตลาดอยู่ที่ 19,350 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยในช่วงปี 2565 ถึง 2573 มีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 5.2 ซึ่งปัจจัยหลักที่ผลักดันให้ตลาดแฟชั่นของภูมิภาคนี้เพิ่มมากขึ้น มาจากจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้น รวมทั้ง รายได้และการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นตามลำดับ ซึ่งคาดว่าจะเป็นตัวกระตุ้นความต้องการกระเป๋าถือในภูมิภาคอเมริกาเหนือเพิ่มมากขึ้น จากข้อมูลที่เผยแพร่โดย Trading Economics ในเดือนกรกฎาคม 2566 เกี่ยวกับรายได้ส่วนบุคคลสุทธิ (Disposable Personal Income: DPI) หรือ รายได้ที่ครัวเรือนได้รับหลังหักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นจาก 19,873.52 พันล้านเหรียญสหรัฐในเดือนพฤษภาคม 2566 เป็น 19,941.02 พันล้านเหรียญสหรัฐในเดือนมิถุนายน 2566

นอกจากนี้ ในช่วงเทศกาล Black Friday เป็นช่วงลดราคาสินค้าทุก นับเป็นเทศกาลลดราคาที่ชาวอเมริกันตั้งหน้าตั้งตารอคอย ร้านค้าและห้างสรรพสินค้าในตลาดอเมริกาเหนือจะมียอดขายกระเป๋าถือเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงเทศกาลนี้

ผลการสำรวจของ Omnibus ที่จัดทำโดย Circana บริษัทที่เชี่ยวชาญในการให้บริการทางการตลาด ระบุผลสำรวจของเดือนมิถุนายน 2566 ว่าร้อยละ 39 ของผู้หญิงอเมริกันอายุ 18 ถึง 34 ปี ถือกระเป๋าถือไปทำงานหรือโรงเรียน นอกจากนี้ ผู้หญิงมากกว่าร้อยละ 60 ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป มักมีกระเป๋าถือติดตัวไว้สำหรับทำกิจกรรมประจำวันนอกเหนือจากการทำงานหรือไปโรงเรียนด้วย

การใช้กระเป๋าถือที่เพิ่มขึ้นของผู้หญิงวัยทำงาน คาดว่าจะเป็นเทรนด์สำคัญที่กำลังผลักดันตลาดกระเป๋าถือของทั่วโลก จากข้อมูลที่เผยแพร่โดย the U.S. Bureau of Labor Statistics สหรัฐอเมริกา พบว่าในเดือนเมษายน 2564 ระบุว่าอัตราส่วนของผู้หญิงทำงานในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ร้อยละ 57.4 ในปี 2562 เมื่อเทียบเปรียบกับปี 2561 อยู่ที่ร้อยละ 57.1 ซึ่งอัตราส่วนของผู้หญิงทำงานที่เพิ่มมากขึ้นนี้ เป็นแรงหนุนหลักในการเติบโตของอุตสาหกรรมกระเป๋าถือในสหรัฐอเมริกา

จากการสำรวจโดย The International Council of Societies of Industrial Design (ICSID) ในเดือนพฤศจิกายน 2564 ผู้หญิงอเมริกัน 1 คน จะมีกระเป๋าถือโดยเฉลี่ย 11 ใบ และใช้จ่ายประมาณ 160 เหรียญสหรัฐ ต่อกระเป๋า 1 ใบ ดังนั้นการซื้อกระเป๋าถือของผู้หญิงจึงมีส่วนทำให้ตลาดเติบโต และทำให้สหรัฐเมริกาเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค

นอกจากนี้ กระเป๋าถือหรูหราระดับพรีเมียม ยังได้พัฒนาไปไกลกว่าบทบาทที่เป็นประโยชน์ในการใช้สอย โดยกลายมาเป็นสัญลักษณ์ในการแสดงสถานะและสไตล์ส่วนตัว กำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ บวกกับแนวโน้มการซื้อตามกลุ่มบุคคลที่มีอิทธิพลทางอ้อม กำลังผลักดันให้เกิดความต้องการกระเป๋าถือระดับไฮเอนด์มากขึ้น นักออกแบบรายใหม่และผู้ผลิตที่มุ่งเน้นการเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม ควบคู่ไปกับแบรนด์หรูที่เป็นที่ยอมรับในตลาด กำลังพยายามพัฒนาและนำเสนองานออกแบบและงานฝีมือที่โดดเด่นเพื่อตอบสนองความต้องการสินค้าที่มีความพิเศษและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากขึ้น ส่งผลให้เพิ่มความหลากหลายของกระเป๋าถือในตลาดมากขึ้นด้วย

เทรนด์วัสดุที่นำมาผลิตกระเป๋า แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

1) ในปี 2565 กระเป๋าถือที่ทำมาจากหนัง มีส่วนแบ่งในตลาดมากที่สุดอยู่ที่ร้อยละ 56.27 โดยพบว่าความต้องการสินค้าฟุ่มเฟือยและเครื่องประดับเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้กระเป๋าถือที่ทำมาจากหนัง หรือแม้แต่เครื่องประดับที่ทำมาจากหนัง ได้รับความนิยมมากขึ้น

การใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นสำหรับสินค้าฟุ่มเฟือยในประเทศที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนานั้นเป็นผลมาจากจำนวนผู้หญิงทำงานที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ทำให้มักลงทุนในการซื้อกระเป๋าถือหนังมากขึ้น และต้องการเติมคอลเลกชั่นในตู้เสื้อผ้า นอกจากนี้การเพิ่มขึ้นของรายได้ในประเทศที่กำลังพัฒนา เช่น ประเทศไทย อียิปต์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย และอินเดีย มีส่วนช่วยในการตัดสินใจของผู้ซื้อให้ง่ายยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ความต้องการกระเป๋าถือหนังยังได้รับส่งเสริมจากการขายออนไลน์โดยเฉพาะในเอเชียแปซิฟิก

2) กระเป๋าถือที่ทำมาจากผ้า คาดว่าจะมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 5.8 ตั้งแต่ปี 2566 ถึง 2573 กระเป๋าผ้าประกอบด้วยกระเป๋าที่ทำจาก ผ้าฝ้าย ผ้าไหม ผ้าใบ กำมะหยี่ ปอกระเจา และไนลอน ผู้ผลิตรายใหญ่ในตลาดกำลังลงทุนในการพัฒนาวัตถุดิบที่เป็นนวัตกรรมเพื่อสร้างกระเป๋าถือที่มีเนื้อผ้าและรูปลักษณ์ที่มีเอกลักษณ์มากขึ้น และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่กำลังตระหนักและต้องการมีส่วนร่วมในการลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ผู้ผลิตหันมาใช้เส้นใยธรรมชาติในการผลิตกระเป๋า เช่น ปอกระเจาและฝ้าย ประกอบกับการที่ผู้ค้าปลีกและซูเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่งหันมาใช้ถุงผ้าฝ้ายและถุงปอกระเจากัน

ประเภทของกระเป๋าถือที่เป็นที่นิยม แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

  • Tote bag กระเป๋าโท้ต ในปี 2565 มีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุด อยู่ที่ร้อยละ 41.13 Tote Bag เป็น

กระเป๋าอเนกประสงค์ที่สามารถใช้งานได้หลากหลาย เป็นที่นิยมในหมู่ผู้บริโภคเนื่องจากขนาดและวัสดุที่ใช้ กระเป๋า Tote มีขนาดใหญ่กว่ากระเป๋าประเภทอื่นๆ กระเป๋าเหล่านี้ช่วยให้ผู้ใช้พกพาสิ่งของจำเป็นไปยังที่ทำงาน มหาวิทยาลัย และที่อื่นๆ ได้ง่ายขึ้น ความนิยมของ Tote bag มาจากอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของแฟชั่นเกาหลี ที่เจาะตลาดในกลุ่มผู้บริโภคอายุน้อย นอกจากนี้ ลักษณะที่มีสไตล์ของกระเป๋าโท้ต ยังสามารถใช้ในโอกาสที่เป็นทางการได้อีกด้วย

Tote Bag ถือว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่ากระเป๋าประเภทอื่นๆ เนื่องจากสามารถใช้ได้หลายครั้ง ช่วยลดความจำเป็นในการใช้ถุงพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายความยั่งยืนในการลดมลพิษจากพลาสติก ตัวอย่างเช่น ในปี 2564 Anya Hindmarch นักออกแบบแฟชั่นชาวอังกฤษได้ร่วมมือกับเครือซุปเปอร์มาร์เก็ต Sainsbury’s และ Waitrose ในสหราชอาณาจักร เพื่อผลิตถุงช้อปปิ้งที่สามานำมาใช้ซ้ำ เพื่อสอดคล้องกับเป้าหมายความยั่งยืน

  • Satchel Bag หรือ กระเป๋าที่มีสายสะพาย มักมีสายสะพายที่ยาวสามารถคาดลำตัวได้ คาดว่า

ระหว่างปี 2566 ถึง 2573 จะมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 8.1 กระเป๋า satchel มีจำหน่ายหลายขนาด ตั้งแต่ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ โดยมีก้นแบนและหูจับสั้นสองข้าง โดยสามารถสะพายเฉียงพาดตัวหรือแขวนด้านข้างก็ได้ กระเป๋า Satchel เป็นกระเป๋าอเนกประสงค์ที่สามารถใช้ได้ทั้งชายและหญิง ซึ่งกระเป๋าทรงนี้กำลังได้รับความนิยมในหมู่ผู้ลูกค้า เนื่องจากสามารถพกพาสิ่งของในชีวิตประจำวันหลายอย่าง เช่น แท็บเล็ต กระเป๋าสตางค์ และแล็ปท็อป มากขึ้น

ช่องทางการจัดจำหน่าย

  • ช่องทางการจัดจำหน่ายออนไลน์ คาดว่าตั้งแต่ปี 2566 ถึง 2573 จะมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 8.6 เนื่องจากความนิยมที่เพิ่มขึ้นของช่องทางอีคอมเมิร์ซและโซเชียลมีเดีย ผู้บริโภคอายุน้อยชอบช้อปปิ้งออนไลน์ เนื่องจากมีความคุ้นเคยและมีความคล่องตัวในการใช้เทคโนโลยีดีจิทัลมากขึ้น บริษัทที่ดำเนินธุรกิจในตลาดกำลังปรับปรุงฐานข้อมูลลูกค้าและร้านค้าดิจิทัลอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับผู้บริโภคกลุ่มใหญ่เหล่านี้ พวกเขายังใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น WeChat, Pinterest, Instagram, Twitter และ Sina Weibo เพื่อสื่อสารกับลูกค้าเพื่อเพิ่มปริมาณการเข้าชมช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งออนไลน์และออฟไลน์

ยกตัวอย่างเช่น Capri Holdings เจ้าของแบรนด์ชั้นนำอย่าง Michael Kors, Versace และ Jimmy Choo ได้ขยายขอบเขตการค้าปลีกทั่วโลกด้วยการเร่งการพัฒนาทุกช่องทาง รวมทั้งอีคอมเมิร์ซ และบริษัทต่างๆ เช่น Coach และ Kate Spade มีเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลในประเทศจีน มาเลเซีย สิงคโปร์ ไต้หวัน และฮ่องกง เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคในเอเชียแปซิฟิก

  • ช่องทางการจัดจำหน่ายแบบออฟไลน์ ในปี 2565 มีส่วนแบ่งการตลาดที่ใหญ่ที่สุด อยู่ที่ร้อยละ 77.7 ช่องทางการจัดจำหน่ายแบบออฟไลน์สำหรับกระเป๋าถือ ประกอบด้วย ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าปลีกเฉพาะทาง (Specialty Store) และร้านค้าปลีกอื่นๆ ผู้บริโภคชอบร้านค้าออฟไลน์ เนื่องจาก สามารถจับต้องได้ ได้ลอง และได้สัมผัสกระเป๋าถือนั้นๆ ด้วยตนเองก่อนการตัดสินใจเลือกซื้อ

ปัจจุบัน ผู้ผลิตกระเป๋าถือแบรนด์ชั้นนำ กำลังร่วมมือกับห้างสรรพสินค้าชื่อดังอย่าง Macy’s, Bloomingdale’s และ Saks Fifth Avenue ในสหรัฐอเมริกา และ Selfridges, Printemps และ Galeries Lafayette ในยุโรป ในการเข้าถึงฐานลูกค้าให้มากขึ้น  นอกจากนี้ ห้างสรรพสินค้าต่างๆ เหล่านี้ ยังเพิ่มการลงทุนในการตกแต่งห้างร้าน และขยายพื้นที่ของห้างให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อดึงดูดผู้บริโภค เป้าหมายคือเพิ่มจำนวนลูกค้าและยอดขายผ่านช่องทางออฟไลน์ให้มากขึ้น

แบรนด์ที่โดดเด่นในตลาดกระเป๋าถือระดับโลก ได้แก่:

  • Louis Vuitton 2) Hermès International S.A. 3) Michael Kors 4) Fossil Group, Inc. 5) Guccio 6)

7) Burberry Group Plc 8) Tapestry, Inc. และ Chanel เป็นต้น

การนำเข้ากระเป๋าจากทั่วโลก (HS 4202)

ในปี 2565 สหรัฐอเมริกานำเข้ากระเป๋าจากทั่วโลกเป็นมูลค่า 13,602.63 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยนำเข้าจากประเทศจีนอันดับที่ 1 มูลค่าการนำเข้า 3,324.70 ล้านเหรียญสหรัฐ นำเข้าจากประเทศอิตาลีเป็นลำดับที่ 2 มูลค่าการนำเข้า 2,063.45 ล้านเหรียญสหรัฐ นำเข้าจากประเทศกัมพูชาเป็นลำดับที่ 3 มูลค่าการนำเข้า 1,929.81 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นำเข้าจากประเทศเวียดนามเป็นลำดับที่ 4 มูลค่าการนำเข้า 1,406.08 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และนำเข้าจากประเทศฝรั่งเศสเป็นลำดับที่ 5 มูลค่าการนำเข้า 1,377.03 เหรียญสหรัฐฯ และนำเข้าจากไทยเป็นอันดับที่ 9 มีมูลค่า 316 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

                                                                              ข้อมูลจาก Global Trade Atlas (GTA)

ความคิดเห็นของสคต. นิวยอร์ก

อุตสาหกรรมสินค้าแฟชั่นในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะกระเป๋าถือของสุภาพสตรี ยังมีโอกาสอย่างมากในการเติบโต ปัจจัยสำคัญมาจากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ บวกกับแนวโน้มการซื้อตามกลุ่มบุคคลที่มีอิทธิพลทางอ้อม กำลังผลักดันให้เกิดความต้องการกระเป๋าถือเพิ่มมากขึ้น หากผู้ประกอบการไทยหรือแบรนด์ไทยที่ต้องการเจาะตลาดลูกค้าแฟชั่นในสหรัฐฯ สามารถพัฒนาและนำเสนองานออกแบบของตนเองที่โดดเด่น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อย่างผลิตภัณฑ์โอทอปและภูมิปัญญาไทย เช่น กระเป๋าจักสานหรือกระเป๋าถักผ้าน่าจะมีโอกาสเติบโตในตลาดสหรัฐอเมริกาเนื่องจากความมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างของไทยและฝีมือที่ปราณีต อีกทั้ง ควรมีการใช้ประโยชน์จาก Social Media เช่น Facebook และ Instagram เพื่อเป็นตัวช่วยในการประชาสัมพันธ์สินค้าได้ดี เนื่องจากชาวอเมริกันส่วนใหญ่ติดตามแฟชั่นใน Social Media เป็นจำนวนมาก

ข้อมูลอ้างอิงจาก:

https://www.grandviewresearch.com/industry-analysis/handbag-market

สคต. นิวยอร์ก ตุลาคม 2566

 

thThai