ผลกระทบความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสในปาเลสไตน์ต่อสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์กลุ่มฮามาสในปาเลสไตน์ เปิดปฏิบัติการโจมตีอิสราเอล สร้างความกังวลให้กับทั่วโลก ขณะที่ผู้นำประเทศต่างๆ ออกมาแถลงท่าทีต่อเหตุดังกล่าว

เมื่อวันที่ 8 ต.ค.2566 ประธานาธิบดี H.H. Sheikh Mohamed bin Zayed Al Nahyan ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์หรือยูเออี แถลงการณ์ถึงการโจมตีของกลุ่มฮามาส- Palestinian Islamist  ที่เมืองต่างๆ ของอิสราเอลว่า เป็น “การลุกลามที่ร้ายแรงและรุนแรง” โดยระบุในถ้อยแถลงว่ารู้สึกตกใจกับการจับพลเมืองเป็นตัวประกันและหวังว่าพลเรือนทั้งสองฝ่ายจะต้องได้รับการคุ้มครองอย่างเต็มที่ภายใต้กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และจะต้องไม่ตกเป็นเป้าหมายของความขัดแย้ง โดยขอให้ทั้งสองฝ่ายเจรจาเพื่อหาแนวทางแก้ไขและหาทางออกร่วมกันอย่างยั่งยืนและสันติ   อีกทั้งได้โทรศัทพ์หารือกับผู้นำของประเทศจอร์แดน อียิปต์ ซีเรีย แคนาดาและประธานาธิบดีอิสราเอล นาย Isaac Herzog       ถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการผ่อนคลายสถานการณ์ และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้ความยับยั้งชั่งใจเพื่อปกป้องชีวิตของ      พลเรือน    ย้ำถึงความสำคัญของการเจรจาและการทูตและสนับสนุนให้ประชาคมระหว่างประเทศสนับสนุนความพยายามทั้งหมด หลีกเลี่ยงความขัดแย้งเพิ่มเติมที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงและเสถียรภาพของภูมิภาคและประชาชน ทั้งนี้ประธานาธิบดียูเออีวางตัวเป็นกลางต่อปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น

ทั้งนี้ ยูเออีและบาห์เรนเป็นประเทศสมาชิกกลุ่ม GCC สองประเทศแรกที่บรรลุข้อตกลงเชื่อมสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอล ในปี ค.ศ. 2020  ซึ่งขัดกับนโยบายอาหรับที่มีมายาวนานหลายทศวรรษต่อเป้าหมายของชาวปาเลสไตน์ ทำให้ยูเออีและบาห์เรนกลายเป็นประเทศอาหรับลำดับที่ 3 และ 4 ที่ลงนามข้อตกลงปรับความสัมพันธ์ให้เป็นปกติกับอิสราเอล ต่อจากอียิปต์ที่ลงนามข้อตกลงกับอิสราเอลเมื่อปี ค.ศ. 1979 และจอร์แดนที่ลงนามข้อตกลงปรับความสัมพันธ์เมื่อปี ค.ศ. 1994

ความสัมพันธ์ทางการค้า

นอกจากการปรับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ยูเออีและอิสราเอลบรรลุข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุม Comprehensive Economic Partnership Agreement :CEPA) มุ่งเน้นเปิดทางให้มีการแลกเปลี่ยนสินค้า บริการ และการลงทุนอย่างเสรีและเป็นประโยชน์ร่วมกันในทางการค้า อิสราเอลจัดตั้ง Israel Diamond Exchange (IDE) ธุรกิจเพชรในเขตอุตสาหกรรมพิเศษ DMCC ของดูไบ 

 

                   จากข้อมูลล่าสุดของ UN COMTRADE statistics ปี 2565 ปรากฎมูลค่าการค้าระหว่างอิสราเอลและ  ยูเออีรวม 1,578 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (+29.2%) โดยส่งออกไปยูเออี 635 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (+65.0%) และนำเข้า   943 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (+12.8%) สินค้าส่งออกไปยูเออีได้แก่ เพชร อุปกรณ์เลเซอร์ โทรศัพท์และอุปกรณ์ ผลิตภัณฑ์เหล็ก และเฮลิคอปเตอร์ และนำเข้าสินค้าเพชร เม็ดพลาสติก โทรศัพท์มือถือ อะลูมิเนียมที่ยังไม่ขึ้นรูป (Unwrought) ผลิตภัณฑ์เหล็กจากยูเออี

สรุป

                   ในมิติการเมืองระหว่างประเทศกรณีอิสราเอล-ฮามาสในปาเลสไตน์มีความละเอียดอ่อน      รัฐบาลยูเออีมีความระมัดระวังอย่างยิ่งยวด ในการแสดงท่าทีและจุดยืนต่อสงครามครั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศของ  ยูเออีเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการดำเนินความพยายามด้านสันติภาพในภูมิภาค รวมทั้งได้แถลงการณ์เรียกร้องให้      ชาวปาเลสไตน์และอิสราเอลกลับไปสู่การเจรจาเพื่อหาข้อยุติขั้นสุดท้ายภายในกรอบของการแก้ปัญหาของทั้งสองรัฐ ส่วนมิติด้านเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบกับยูเออี มองว่ายังเร็วเกินไปที่จะประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจจากความขัดแย้ง สินค้าที่ค้าขายระหว่างกันส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุตสาหกรรม สินค้าเกษตรมีมูลค่าเล็กน้อย เช่น ผลไม้และดอกไม้สด ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าไทยไปยูเออี

 

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองดูไบ

 

thThai