Mastercard SpendingPulse ได้คาดการณ์เกี่ยวกับการใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐฯ ในช่วงเทศกาลวันหยุด (holiday season) ที่กำลังจะมาถึง (ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน – 24 ธันวาคม 2566) โดยยอดค้าปลีกในสหรัฐฯ (ไม่รวมรถยนต์) น่าจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 4% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาในช่วงเดียวกัน แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อมีการปรับตัวลดลงและตลาดงานมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น แต่ทว่าการใช้จ่ายในช่วงวันหยุด (holiday season) ที่กำลังจะมาถึงอาจมีการขยายตัวไม่มากนัก

อย่างไรก็ดี บริษัท Bain & Company ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยทางการตลาดได้มีคาดการณ์ในลักษณะเดียวกันว่า ยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ ในช่วงวันหยุด (holiday season) น่าจะมีการเติบโตในอัตรา 3% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเติบโตที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2561 ที่มียอดจำหน่ายสูงถึง 915,000 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้แล้ว บริษัทวิเคราะห์ข้อมูล Deloitte ยังได้คาดการณ์ว่ายอดค้าปลีกในช่วงวันหยุดน่าจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 4-5% โดยยอดจำหน่ายในช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2566 ถึงมกราคม 2567 น่าจะมีมูลค่าประมาณ 1.54-1.56 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยอาศัยแรงหนุนจากการจ้างงานและรายได้ที่แข็งแกร่งที่ช่วยผลักดันให้เกิดการซื้อสินค้าในช่วงวันหยุด (holiday season) ที่กำลังจะมาถึง อนึ่ง ยอดจำหน่ายในปี 2565 เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งนี้ แรงผลักดันของอัตราเงินเฟ้อได้ส่งผลให้ราคาสินค้ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากในปีที่ผ่านมา อนึ่งหากไม่มีการปรับเพิ่มราคาดังกล่าว ยอดค้าปลีกจริงๆ ก็อาจจะอยู่ในระดับปานกลาง

นอกจากนี้แล้ว การเติบโตของยอดจำหน่ายของช่วงวันหยุด (holiday season) ที่กำลังจะมาถึงส่วนใหญ่น่าจะมาจากการจำหน่ายผ่านทางออนไลน์ ซึ่งสอดคล้องกับบริษัท Deloitte ที่คาดการณ์ว่ายอดจำหน่ายออนไลน์น่าจะมีการเติบโตระหว่าง 10-13% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาในช่วงเทศกาลวันหยุด โดยยอดจำหน่ายรวมน่าจะมีมูลค่าถึง 278,000-284,000 ล้านเหรียญสหรัฐ อนึ่ง ยอดจำหน่ายออนไลน์ของปี 2565 เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งนี้ เพื่อช่วยให้การจำหน่ายออนไลน์มีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ผู้ค้าควรเพิ่มกลยุทธ์ทางการ ตลาดเพื่อดึงดูดผู้บริโภคและกระตุ้นการซื้อ เช่น การจัดส่ง การคืนสินค้าและการทดลองใช้ เป็นต้น

จากการรวมรวมข้อมูลของ Mastercard SpendingPulse พบว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลวันหยุด (holiday season) คาดว่าน่าจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งหมด ยกเว้นสินค้าในหมวดเครื่องประดับน่าจะมีการหดตัวลดลง โดยยอดจำหน่ายเครื่องประดับคาดว่าน่าจะลดลง 0.3% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากผู้บริโภคต้องการที่จะปรับสมดุลในการใช้จ่าย

อย่างไรก็ดี นาย Steve Sadove ที่ปรึกษาอาวุโสของ Mastercard และอดีตผู้บริหารของ บริษัท Saks Inc ให้ความเห็นว่าช่วงเทศกาลวันหยุด (holiday season) ที่กำลังจะมาถึงนี้ ผู้ค้าปลีกจะพยายามดึงดูดผู้บริโภคด้วยสินค้าที่หลากหลายภายใต้งบประมาณที่จำกัดที่ผู้บริโภคสามารถเลือกสรรและได้รับคุณค่ามากขึ้น โดยกลยุทธ์สำหรับช่วงวันหยุดที่มีประสิทธิภาพสูงสุด คือ การส่งเสริมการจำหน่ายส่วนบุคคลและการสร้างประสบการณ์ในร้าน ซึ่งวิธีดังกล่าวน่าจะเป็นกุญแจสำคัญในการกระตุ้นการตลาดในช่วงเทศกาลดังกล่าว

ทิศทางการใช้จ่ายของชาวอเมริกันในช่วง Holiday Season

บริษัท Mastercard SpendingPulse ยังได้คาดการณ์ว่า หมวดสินค้าและธุรกิจบริการน่าจะมีการขยายตัวมากที่สุดในช่วงเทศกาลวันหยุด (holiday season) นี้ คือ
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (+6% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา) โดยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์และเกมส์คาดว่าจะได้รับความนิยมเป็นอย่างมากสำหรับชาวอเมริกันในปีนี้ เนื่องจากวิถีการใช้ชีวิตและการทำงานที่เปลี่ยงแปลงไปของชาวอเมริกัน และความต้องการมีประสบการณ์ร่วมผ่านเทคโนโลยีใหม่ๆ ส่งผลให้แนวโน้มของสินค้าในกลุ่มดังกล่าวน่าจะมีการเติบโตไปในทิศทางบวก

ธุรกิจบริการร้านอาหาร (+5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา) เนื่องจาก ผู้บริโภคมีความกระตือรือร้นที่จะรวมตัวเฉลิมฉลองและสังสรรค์นอกบ้านกับคนที่รักเพิ่มมากขึ้นหลังจากถูกแยกตัวออกในปีที่ผ่านๆ จากสถานการณ์การระบาดของ COVID นอกจากนี้ ร้านจำหน่ายอาหารหรือ Grocery (+3.9% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา) และเครื่องแต่งกาย (+1% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา) ก็น่าจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ตามลำดับ

ทั้งนี้ บริษัท Mastercard SpendingPulse คาดว่า ยอดจำหน่ายในร้านค้าน่าจะเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และยอดจำหน่ายออนไลน์น่าจะเติบโต 7% เมื่อเทียบปีที่ผ่านมา โดยปัจจัยที่สนับสนุนการขยายตัวที่แข็งแกร่งของช่องทางออนไลน์ในฤดูกาลนี้ คือ ผู้บริโภคต้องการค้นหาและเปรียบเทียบราคาที่ดีที่สุดเพื่อลดต้นทุนการใช้จ่าย กอปรกับการจำหน่ายออนไลน์ทำให้ผู้ค้าปลีกมีความยืดหยุ่นในการเปลี่ยนแปลงอุปสงค์และสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จากข้อมูลการสำรวจผู้บริโภคชาวอเมริกัน จำนวน 5,263 คนของบริษัท Numerator พบว่า
ช่วงเทศกาลขอบคุณพระเจ้า ชาวอเมริกันนิยมใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้า ประมาณ 50-100 เหรียญสหรัฐ/คน
ช่วงเทศกาลคริสต์มาส ชาวอเมริกันนิยมใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้า มากกว่า 100 เหรียญสหรัฐ/คน

ทิศทางการใช้จ่ายของชาวอเมริกันในช่วง Holiday Season

เทรนด์น่ารู้เกี่ยวกับการวางแผนการจำหน่ายในช่วงเทศกาลที่กำลังจะมาถึง
1.ผู้บริโภคนิยมซื้อสินค้าก่อนล่วงหน้า จากการสำรวจผู้บริโภคในสหรัฐฯ พบว่า 50% ของผู้ซื้อวางแผนที่จะเริ่มช้อปปิ้งในช่วงวันหยุดไม่เกินเดือนตุลาคม ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นผู้บริโภค Gen X และ Millennial โดยจะเริ่มช้อปปิ้งตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม และ 26% ของกลุ่มสำรวจวางแผนที่จะไม่ซื้อสินค้าในช่วง Black Friday

2.ผู้บริโภคนิยมการค้นหาข้อมูลออนไลน์มากขึ้น จากข้อมูลของ Google พบว่า ลูกค้า 36% ใช้เวลาในการค้นหาข้อมูลผลิตภัณฑ์และข้อเสนอต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ การให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้าและการเพิ่มระบบการเปรียบเทียบจะช่วยหนุนให้เกิดพฤติกรรมการซื้อที่รวดเร็วยิ่งขึ้น

3.ลงทุนกับการโฆษณาออนไลน์ในช่วง Cyber Monday จากข้อมูลของปี 2565 พบว่ายอดจำหน่ายสินค้าออนไลน์ช่วงวันจันทร์หลังวันขอบคุณพระเจ้าได้สร้างสถิติยอดขายใหม่เพิ่มขึ้น 9% มีมูลค่าประมาณ 12,430 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการเติบโตที่ก้าวกระโดดแซงหน้าการคาดการณ์ถึง 3.8%

4.ผู้ขายควรเสนอสินค้าและโปรโมชั่นที่หลากหลายให้กับผู้บริโภค ข้อเสนอพิเศษในช่วงวันหยุดและการลดราคาสินค้าที่หลากหลาย รวมถึงแบรนด์สินค้าราคาแพง เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือเฟอร์นิเจอร์ น่าจะช่วยกระตุ้นความสนใจของผู้ซื้อได้เป็นอย่างดี

5.อำนวยความสะดวกให้กับผู้ซื้อผ่านทางการซื้อบนมือถือ จากการสำรวจโดย JustUno ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา พบว่า 49.6% ของผู้ซื้อ นิยมใช้โทรศัพท์มือถือในการช้อปปิ้งออนไลน์เป็นหลัก

6.อาศัยแรงขับเคลื่อจากผู้มีอิทธิพลทางสือออนไลน์ที่เป็นรายย่อยและน่าเชื่อถือ มาช่วยสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้าอย่างแท้จริง ทั้งนี้ ผู้บริโภครุ่นใหม่ Gen Z และ Millennial มีความต้องการข้อมูลที่แท้จริงที่ไม่ได้จัดฉาก

7.การโฆษณาและการชำระเงินผ่านสื่อ Social ช่วยเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น การโฆษณาบนสื่อ Social มีแนวโน้มที่จะมีประสิทธิภาพเหนือกว่าการตลาดแบบดั้งเดิมในช่วงเทศกาลวันหยุดนี้ถึง 10 เท่า ตามข้อมูลการวิจัยของ SalesForce แสดงให้เห็นว่า การเข้าชมจากแพลตฟอร์มโซเชียลเพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยผู้บริโภคมากกว่าครึ่งหนึ่งเข้าชมสินค้าร้านค้าจริงหลังจากค้นพบสินค้าบนหน้าจอ (Social Feeds) ดังนั้น แบรนด์จึงควรให้ความสำคัญกับการสร้างจุดยืนในช่องทางออนไลน์และการมีส่วนร่วมกับลูกค้า

8.ข้อเสนอพิเศษเฉพาะบุคคลช่วยกระตุ้นการจำหน่ายได้เป็นอย่างดี ลูกค้าคาดหวังข้อเสนอส่วนบุคคลเพื่อประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัว ทั้งนี้ BusinessWire กล่าวว่าผู้ซื้อ 69% คาดหวังว่าผู้ค้าปลีกจะมอบข้อเสนอที่ตรงตามความต้องการของแต่ละคนมากขึ้น

9.การจัดส่งที่รวดเร็วยังคงมัดใจผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี ลูกค้า 32.26% เป็นกลุ่ม Millennials เต็มใจที่จะจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อการส่งมอบที่รวดเร็ว

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก
แหล่งที่มาของข้อมูล: DELOITTE/MASTERCARD ECONOMIC INSTITUTE/NATIONAL JEWELER/NUMERATOR/KORTX/

thThai