แนวโน้มการตลาดของร้านค้าและแบรนด์ในช่วงเทศกาลวันหยุดปี 2024

ชาวอเมริกันจะเรียกช่วงเวลาในเดือนพฤศจิกายนและเดือนธันวาคมว่าเป็นช่วงเดือนเทศกาลวันหยุด โดยจะเริ่มการเฉลิมฉลองตั้งแต่วันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving Day) ไปจนถึงวันปีใหม่ ซึ่งชาวอเมริกันจะให้ความสำคัญกับช่วงเทศกาลวันหยุด โดยมีการรวมตัวของครอบครัวและญาติพี่น้อง เดินทางท่องเที่ยวและช้อปปิ้ง ซึ่งนับว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับธุรกิจทุกประเภทในการสร้างยอดขาย เนื่องจากผู้บริโภคจะออกมาเลือกซื้อสินค้ากันอย่างคึกคัก

โดยมีแนวโน้มการตลาดของร้านค้าและแบรนด์ในช่วงเทศกาลวันหยุดปี 2024 นี้ ที่จะส่งผลทั้งต่อภาคธุรกิจและผู้บริโภคและห่วงโซ่อุปทาน ดังนี้

  • การเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซกำลังลดลง ถึงแม้ว่าในช่วงที่มีการแพร่ระบาด

ของโควิด-19 ที่ผ่านมา จะส่งผลให้ยอดขายอีคอมเมิร์ซช่วงวันหยุดเทศกาลมีการเติบโต   อย่างมาก ทว่าตั้งแต่ช่วงต้นปี 2566 ยอดขายอีคอมเมิร์ซมีการเติบโตช้าลงอย่างน่าตกใจ โดยคาดการณ์ว่าการเติบโตของยอดขายอีคอมเมิร์ซจะลดลงอย่างต่อเนื่องในปี 2567 ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นสัญญาณที่ไม่สู้ดีนักสำหรับตลาดอีคอมเมิร์ซ และไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ว่าร้านค้า

 

 

หรือแบรนด์จะต้องยุติการขายรูปแบบอีคอมเมิร์ซ แต่เป็นสัญญาณว่าธุรกิจจะต้องมีความยืดหยุ่นและปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป

  • การนำเสนอโปรโมชันที่มาพร้อมกับบริการแบบ Executive

เทศกาลช้อปปิ้งในช่วงวันหยุดช่วยให้ร้านค้ามีโอกาสนำเสนอโปรโมชันพิเศษสำหรับผู้บริโภค และเป็น

โอกาสดีในการเพิ่มยอดขายให้มากกว่าคู่แข่ง อีกทั้งสร้างความแตกต่างและจุดเด่นที่ดีกว่าคู่แข่ง คาดการณ์ว่าในช่วงเทศกาล ผู้บริโภคจะได้เห็นแนวทางการตลาดใหม่ของร้านค้าและแบรนด์ที่นอกจากนำเสนอโปรโมชันการมอบส่วนลดพิเศษแล้ว ร้านค้าและแบรนด์ต่างเพิ่มบริการแบบ ที่ให้แก่ลูกค้า หรือเรียกว่าเป็นการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าที่แตกต่างไปจากเดิม เช่น บริการ Personalized Shopping หรือ การตลาดแบบรู้ใจ คือ การที่ร้านค้าและแบรนด์เริ่มต้นการเก็บข้อมูลจากลูกค้า จากนั้นก็เริ่มจดจำว่าลูกค้าแต่ละคนเป็นใคร ชอบหรือไม่ชอบอะไร บริการประเภทนี้กลายเป็นสิ่งที่ลูกค้าส่วนใหญ่ในวันนี้เรียกร้องและต้องการ สิ่งเหล่านี้คือการมอบประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครให้แก่ลูกค้า สร้างความโดดเด่นและเอาชนะใจลูกค้าได้

  • ความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทานถือเป็นสิ่งสำคัญ

การผลิตสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าและส่งมอบสินค้าให้ตรงตามเวลาที่กำหนด ยังคง

เป็นสิ่งสำคัญในช่วงเทศกาลวันหยุดปี 2024 ที่ลูกค้าต้องการ แม้ปัจจุบันระดับตึงเครียดในเรื่องของห่วงโซ่อุปทานจะลดลงจากระดับสูงสุดในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่บทเรียนที่ได้รับในอดีตที่ผ่านมา จะส่งผลให้ร้านค้าและแบรนด์พร้อมรับมือและมีความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทานมากขึ้น

     4) ราคาที่สูงขึ้นและความคาดหวังของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

         ความท้าทายในเรื่องของห่วงโซ่อุปทานและอัตราเงินเฟ้อ จะส่งผลกระทบให้ต้นทุนของการผลิตและสินค้ามีราคาสูงขึ้นในช่วงเทศกาล ก่อให้เกิดความคาดหวังที่สูงขึ้นของลูกค้าต่อคุณภาพของสินค้าและบริการโดยรวม ร้านค้าและแบรนด์จึงต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสมต่อเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น

  • ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการบริโภคอย่างพอดีและยั่งยืน

ในปี 2024 คาดการณ์ว่าผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งบ่งชี้ว่า ในช่วงเทศกาลที่กำลังจะมาถึงนี้ ผู้บริโภคอยากให้แบรนด์ต่าง ๆ ผลิตสินค้าโดยคำนึงถึงความยั่งยืน ไม่ผลิตสินค้าออกมามากเกินไป เพราะการผลิตที่มากไปส่งผลต่อให้เกิดมลพิษทั้งในขั้นตอนการผลิตและการทำลาย แบรนด์ที่นำหลักปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ ตั้งแต่บรรจุภัณฑ์ที่ใช้วัสดุรีไซเคิลไปจนถึงการจัดหาสินค้า จะดึงดูดผู้บริโภคที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในช่วงที่ผ่านมาคือ อุตสาหกรรมอาหารและแฟชั่น เป็นต้น

ความคิดเห็นของสคต. นิวยอร์ก

อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อทุกภาคธุรกิจ ต้นทุนของการผลิตและสินค้ามีราคาสูงขึ้นเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่ายลง ช่วงเทศกาลจึงนับว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับธุรกิจทุกประเภทในการสร้างยอดขายและดึงดูดผู้บริโภคให้ใช้จ่ายมากขึ้น เป็นโอกาสอันดีต่อร้านค้าและแบรนด์ในการจัดโปรโมชันหรือเพิ่มกลยุทธ์ในการเพิ่มยอดขาย ผู้ประกอบการควรศึกษาแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคและการตลาดของคู่แข่งอยู่เสมอ เพื่อนำมาพัฒนาและปรับปรุงแนวทางการตลาดของธุรกิจตนเองให้โดดเด่นกว่าคู่แข่ง

ข้อมูลอ้างอิงจาก:

https://www.happy-or-not.com/en/insights/blog/holiday-retail-trends-2024-heres-what-to-expect/

สคต. นิวยอร์ก พฤศจิกายน 2566

thThai