อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นทั่วยุโรป อันเป็นผลมาจากสงครามในยูเครนตั้งแต่ปี 2565 ส่งผลให้ราคาสินค้าและการบริการทั่วไปเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง เช่น อาหารแมว ที่ผู้บริโภคในท้องถิ่นมีกำลังซื้อลดลง สิ่งเหล่านี้สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์ ปริมาณการขาย และขนาดตลาดของสินค้าแต่ละประเภท
จากข้อมูลของ Euromonitor International พบว่า ในปี 2566 มูลค่าจากการขายปลีกอาหารแมวคิดเป็น 2.1 พันล้านยูโร หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 โดยสินค้าประเภทขนมและอาหารเสริมสำหรับแมว (cat treats and mixers) เป็นสินค้าที่น่าจับตามอง ด้วยอัตราการขยายตัวของยอดขายสูงที่สุดในหมวดสินค้าอาหารแมว มีมูลค่าการขายปลีกที่ 353 ล้านยูโร หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 ผู้ผลิตและผู้ค้าปลีกอาหารแมวจำเป็นต้องหากลยุทธ์เพื่อแก้ไขผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อ ผู้ผลิตบางรายเริ่มพิจารณาปรับเปลี่ยนการนำเสนอผลิตภัณฑ์ โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้มีหลากหลายขนาด หรือการปรับสูตรของผลิตภัณฑ์เพื่อรักษาระดับราคาที่แข่งขันในตลาดได้ แต่ไม่กระทบต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ส่วนผู้ผลิตรายเล็กอาจพบว่าเป็นเรื่องยากที่ต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น จึงนำไปสู่การรวมตัวกันของอุตสาหกรรมขนาดเล็ก เพื่อให้มีความยืดหยุ่นต่อความผันผวนของราคามากขึ้น
ผู้บริโภคชาวเยอรมันยินดีที่จะซื้ออาหารแมวระดับพรีเมี่ยมในช่วงการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาเนื่องจากพวกเขาเห็นว่าจะได้ใช้เวลาร่วมกันกับสัตว์เลี้ยงแสนรักที่บ้าน แต่ปัจจุบัน จากสถานะการณ์เงินเฟ้อ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และข้อจำกัดทางการเงิน ทำให้เจ้าของแมวต้องพิจารณาการใช้จ่ายให้รอบคอบขึ้น พวกเขาเริ่มหันไปเลือกอาหารแมวราคาไม่แพงนัก แต่ยังคงซึ่งโภชนาการพื้นฐานที่แมวต้องการ โดยไม่ต้องเป็นอาหารแมวราคา พรีเมี่ยมเสมอไป ผู้บริโภคเริ่มสำรวจแบรนด์อาหารแมวระดับกลางหรือราคาประหยัด โดยสินค้าต้องมีความสมดุลทางด้านราคาและคุณภาพ
ในเยอรมนี เจ้าของแมวมักซื้ออาหารแมวแบบเปียกมากกว่าอาหารแมวแบบแห้ง เพราะมีความคิดว่าเนื้อสัมผัสมีความชุ่มชื้นและกลิ่นหอมเหมาะกับแมวของตน โดยธรรมชาติของแมวนั้น เป็นสัตว์กินเนื้อ จึงมักชอบอาหารที่มีความชุ่มชื้นมากกว่าอาหารแห้ง อาหารแมวแบบเปียกจึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับเจ้าของสัตว์เลี้ยง
อาหารแมวแบบเปียกมักมีปริมาณโปรตีนสูงกว่าและมีคาร์โบไฮเดรตต่ำกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับอาหารแมวแบบแห้ง ซึ่งดีต่อสุขภาพแมว นอกจากนี้ การตลาดและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ยังมีบทบาทในการขับเคลื่อนการเติบโตของอาหารแมวแบบเปียกในประเทศเยอรมนีด้วย ผู้ผลิตจึงมุ่งเน้นไปที่การเสนอรสชาติ เนื้อสัมผัส และสูตรอาหารแมว ให้มีความหลากหลายเพื่อตอบสนองความชอบที่หลายหลายของแมว ซึ่งข้อเสนอที่หลากหลายนี้ดึงดูดให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงอยากจะทดลองสินค้านั้นๆกับแมวของตน ส่งผลให้สินค้ามีการเติบโตเพิ่มมากขึ้น
ชาวเยอรมันให้ความสำคัญกับสุขภาพและสวัสดิภาพของสัตว์เลี้ยงเป็นอย่างมาก ผู้บริโภคตระหนักและใส่ใจกับปัญหาสุขภาพเฉพาะด้านที่อาจจะส่งผลต่อสัตว์เลี้ยงของพวกเขา แบรนด์อาหารแมวต่างๆ อาจจะต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนโดยมุ่งเน้นไปที่ประเด็นสุขภาพ เช่น เพื่อควบคุมน้ำหนัก เพื่อสุขภาพเหงือกและฟัน เพื่อบำรุงผิวหนังและเส้นขน หรือเพื่อช่วยระบบย่อยอาหาร เป็นต้น พร้อมกันนั้น ผู้บริโภคก็เริ่มมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีโปรตีนและคุณภาพสูง ไม่มีสารปรุงแต่งเทียม และเน้นส่วนผสมจากธรรมชาติ
จากรูปแบบความต้องการที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค ที่เน้นการใส่ใจสวัสดิภาพและธรรมชาติของสัตว์ ขนมและอาหารเสริมสำหรับแมวจึงเป็นตัวช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับแมว คาดการณ์ว่าในอนาคต ขนมแมวจะถูกผลิตออกมาให้ตรงกับวัตถุประสงค์และความต้องการของเจ้าของแมว เพื่อช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจให้กับแมว แนวโน้มของขนมและอาหารเสริมสำหรับแมวจะถูกผลิตออกมาให้มีตัวเลือกหลากหลายในด้านรสชาติและเนื้อสัมผัส ส่วนของเล่นสำหรับจ่ายขนมแมว (treat-dispensing toys) มีแนวโน้มว่าจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น สำหรับอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยง การพัฒนาผลิตภัณฑ์ในอนาคตจะเน้นไปที่ธรรมชาติและลักษณะเฉพาะของแมวเป็นหลัก หลักความยั่งยืนยังคงมีบทบาทสำคัญกับอาหารแมว ทั้งนี้ ผู้ผลิตอาหารแมวควรใส่ใจและให้ความสำคัญกับส่วนผสมที่มาจากแหล่งที่ยั่งยืน สิ่งนี้ยังรวมไปถึงหลักจริยธรรมในการเลี้ยงสัตว์ การจับปลา และผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกด้วย แบรนด์อาหารสัตว์ที่มีความโปร่งใสเกี่ยวกับที่มาของส่วนผสม และแหล่งที่มาที่มีความยั่งยืน จะช่วยตัวดึงดูดผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้ นอกจากนี้ บรรจุภัณฑ์แบบยั่งยืน เช่น วัสดุที่ย่อยสลายได้ หรือวัสดุรีไซเคิล จะได้รับความสนใจ แบรนด์ต่างๆ จะพยายามลดการใช้พลาสติกให้น้อยที่สุด และมองหาวัสดุทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกัน กระบวนการผลิต มีแนวโน้มว่าอุตสาหกรรมจะลดการใช้พลังงาน ลดการปล่อยมลพิษ และลดของเสีย ในกระบวนการผลิตลง การใช้แหล่งพลังงานหมุนเวียนและการใช้น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดจะกลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้น
ที่มา: Euromonitor International