ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงแข็งแรงหลังจากการฟื้นตัวของการแพร่ระบาดโควิด-19 เดือนธันวาคม 2566 สหรัฐอเมริกาได้มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นมากกว่าการคาดการณ์ โดยอัตราการจ้างงานทั้งหมดในปี 2566 อยู่ที่ 3.1 ล้านตำแหน่ง ซึ่งมากกว่าการคาดการณ์อยู่ที่ 2.7 ล้านตำแหน่ง ซึ่งในช่วงต้นของโควิด-19 มีอัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 14

 

กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ได้ประกาศตัวเลขการจ้างงานในสหรัฐฯ ของเดือนมกราคม 2567 เพิ่มขึ้น 353,000 ตำแหน่งจากเดือนก่อนหน้า ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และอัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ยังคงตัวอยู่ที่ร้อยละ 3.7

 

ตลาดแรงงานในสหรัฐฯ

 

Ms. Sara Rutledge ที่ปรึกษาเศรษฐกิจอิสระให้ความเห็นว่านักวิเคราะห์รู้สึกประหลาดใจกับตัวเลขการจ้างงานที่ออกมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแรงของตลาดแรงงานสหรัฐฯ โดย Ms. Rutledge ได้จัดทำการสำรวจความคิดเห็นของสมาชิกสมาคมเศรษฐศาสตร์ธุรกิจแห่งชาติ (National Association for Business Economics) พบว่านักวิเคราะห์มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะสามารถหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยได้ ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคว่าภาวะเงินเฟ้อจะผ่อนคลายลง

 

การจ้างงานในเดือนมกราคม 2567 ที่เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจากที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของตัวเลข GDP สหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 ซึ่งปัจจัยบวกที่เกิดขึ้นนี้อาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ชะลอการขึ้นดอกเบี้ย อย่างไรก็ดี มีแนวโน้มว่าการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเดือนได้ทำให้ข้าวของมีราคาสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งอาจส่งผลต่อการดำเนินนโยบายด้านการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ

 

นาย Jerome H. Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ส่งสัญญาณว่าจะยังไม่มีการลดอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงเดือนพฤษภาคม 2567 เนื่องจากต้องการรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้มั่นใจว่าอัตราเงินเฟ้อจะกลับมาสู่เป้าหมาย

 

ตลาดแรงงานในสหรัฐฯ

 

ข้อมูลการจ้างงานล่าสุดได้ทำให้เห็นว่าฝ่ายบริหารของประธานาธิบดี Biden ได้รับชัยชนะในเรื่องของการบริหารตลาดแรงงาน โดยอัตราการว่างงานอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับอัตราการว่างงานต่ำสุดในรอบ 70 ปี โดยอัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ยังคงตัวอยู่ที่ร้อยละ 3.7

 

นาย Jared Bernstein ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจของทำเนียบขาว (White House Council of Economic Advisers) ได้ให้ความเห็นว่าการที่อัตราการว่างงานที่ต่ำกว่าร้อยละ 4 ในช่วงระยะเวลา 2 ปีติดต่อกัน ไม่เพียงแสดงถึงความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานเท่านั้นแต่ยังแสดงถึงความน่าเชื่อถือและความมั่นคงของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ด้วย

 

ตัวเลขการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นในเดือนมกราคม 2567 มาจากภาคเอกชนมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 74,000 ตำแหน่ง และภาคสาธารณสุขจ้างงานเพิ่มขึ้น 70,000 ตำแหน่ง สำหรับภาคอุตสาหกรรมหลักที่มีการเลิกจ้างคนงาน ได้แก่ เหมืองแร่ และการแปรรูปไม้ อย่างไรก็ดี อัตรารายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงได้มีการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยรายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงของเดือนมกราคม 2567 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 จากเดือนธันวาคม 2566 คาดว่าเกิดจากในช่วงฤดูหนาวทำให้มีชั่วโมงในการทำงานน้อยลงและค่าแรงต่อชั่วโมงเพิ่มขึ้น รวมทั้งพนักงานออฟฟิศที่มีรายได้สูงทำให้รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงสูงขึ้น และอุตสาหกรรมโรงแรมและร้านอาหารที่พนักงานมีรายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงต่ำได้เลิกจ้างพนักงานกว่า 1,000 ตำแหน่ง

 

ตลาดแรงงานในสหรัฐฯ

 

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ได้เตือนว่าอย่าให้ความสำคัญกับตัวเลขการจ้างงานของเดือนมกราคมปี 2567 มากนัก เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงเปราะบาง การที่เห็นตัวเลขการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นสูงในเดือนมกราคม 2567 ไม่ได้แปลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กลับมาดีขึ้นแล้ว เห็นได้จากการเพิ่มขึ้นของอัตราการจ้างงานในเดือนมกราคมปี 2566 ที่มีมากกว่าการเพิ่มขึ้นของอัตราการจ้างงานเฉลี่ยทั้งปี 2566

 

นาย Agron Nicaj นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกันจากสถาบันการเงิน Mitsubishi UFJ Financial Group พบว่าภาคเอกชนประกาศรับสมัครงานเพิ่มมากขึ้นในไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทำให้การจ้างงานที่เพิ่มขึ้นในเดือนมกราคม 2567 เป็นการเพิ่มขึ้นในระยะสั้นๆ ประกอบกับข้อมูลของบริษัทจัดหางาน Challenger, Gray & Christmas พบว่ามีการประกาศเลิกจ้างงานเพิ่มขึ้นในเดือนมกราคม 2567 ด้วย โดยนาย Nicaj ให้ความเห็นว่าการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วน่าจะเป็นผลมาจากการที่บริษัทต่างๆ หาพนักงานมาเติมตำแหน่งงานที่เคยว่างมากกว่าเป็นการจ้างงานใหม่

 

อย่างไรก็ดี เห็นได้ชัดว่าการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นในต้นปี 2567 ได้เป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจและตลาดแรงงานในสหรัฐฯ อัตราค่าแรงที่เติบโตเร็วกว่าในอดีตและการเพิ่มขึ้นของประสิทธิภาพในการผลิตในช่วงระยะเวลา 3 ไตรมาสที่ผ่านมาไม่ได้ส่งผลให้มีภาวะเงินเฟ้อสูงขึ้น ตลาดแรงงานได้เอื้ออำนวยให้ผู้หางานมีทางเลือกและมีอำนาจในการต่อรองมากขึ้นเนื่องจากจำนวนตำแหน่งงานที่ว่างยังมีมากกว่าผู้ที่ต้องการหางาน นอกจากนี้ ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังมีผู้ย้ายถิ่นฐานเข้ามาในประเทศหรือผู้หญิงเข้ามาในตลาดแรงงานมากขึ้นอย่างไม่คาดคิด

 

แนวโน้มการจ้างงานที่สูงขึ้นจะยังคงดำเนินต่อไป เนื่องจากค่าจ้างในราคาที่สูงได้ดึงดูดให้ผู้คนเข้ามาในตลาดแรงงานมากขึ้น โดยพบว่าคนงานที่ยังไม่ได้อยู่ในตลาดแรงงานแต่มีความต้องการเข้ามาในตลาดแรงงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยปัจจุบันมีจำนวนแรงงานดังกล่าวอยู่ที่ 5.8 ล้านคน ซึ่งกลุ่มคนทำงานที่มีศักยภาพเหล่านี้อาจกลับเข้ามาในตลาดแรงงานหากค่าจ้างมากกว่าค่าใช้จ่ายในการดูแลเด็กหรือค่าใช้จ่ายในการเดินทาง

 

ที่ผ่านมาภาคส่วนต่างๆ ใช้เวลานานจากการฟื้นตัวจากโควิด-19 เช่น อุตสาหกรรมบริการและภาครัฐส่วนท้องถิ่น และบางภาคส่วนได้รับผลกระทบจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง เช่น ประชากรสูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น ความต้องการที่อยู่อาศัยที่มากขึ้น ทำให้ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างยังคงจ้างพนักงานใหม่อย่างต่อเนื่องแม้ในช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีอัตราดอกเบี้ยสูง เนื่องจากมีความต้องการของบ้านใหม่เพิ่มมากขึ้น

 

ตลาดแรงงานในสหรัฐฯ

 

อุตสาหกรรมอื่นๆ ที่มีการเติบโตอย่างมากในช่วงปี 2564-2565 ได้ฟื้นตัวกลับไปเท่ากับช่วงก่อนโควิด-19 เช่น ธุรกิจขนส่ง คลังสินค้า เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นต้น ส่วนธุรกิจค้าปลีกยังอยู่ในภาวะทรงตัว

 

Galvin Moore ผู้ที่ย้ายงานจากภาคอุตสาหกรรมที่หดตัวไปยังอุตสาหกรรมที่มีเสถียรภาพมากขึ้น โดยได้ย้ายจากการทำงานด้านเทคโนโลยีและสารสนเทศให้กับบริษัทนายหน้าขนส่งสินค้า เมื่อสังเกตว่าอุตสาหกรรมการขนส่งด้วยรถบรรทุกมีการหดตัวมากขึ้น จึงได้ย้ายมาทำงานในธุรกิจพลังงานจากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ได้ขยายการลงทุนไปยังธุรกิจเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานจากความร้อนใต้พิภพและการดักจับและการกักเก็บคาร์บอน โดย Moore ให้ความเห็นว่าการย้ายงานไม่ได้เป็นเรื่องของความมั่นคงเท่านั้น แต่เป็นความกังวลว่าการเติบโตในอาชีพจะถูกจำกัดโดยอุตสาหกรรม ซึ่งการทำงานในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ทำให้ Moore ได้ค่าแรงเพิ่มขึ้นร้อยละ 40 ซึ่งเพียงพอสำหรับการชำระหนี้และการซื้อบ้านหลังใหม่ได้

 

แม้ว่าบริษัทใหญ่ๆ อย่างบริษัท UPS บริษัท Google และบริษัท Microsoft ได้ประกาศเลิกจ้างงาน แต่นายจ้างส่วนใหญ่กลับไม่ต้องการที่จะแยกทางกับพนักงาน เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการขาดแคลนพนักงาน หากภาคอุตสาหกรรมกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น นายจ้างจะต้องหาพนักงานใหม่อีกครั้ง แม้ว่าสัดส่วนของการลาออกปี 2567 จะกลับเข้าสู่ระดับปกติหลังจากมีการเพิ่มขึ้นสูงในปี 2565

 

สำหรับหลายธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากภาวะโควิด-19 จนรายได้ลดลงไปเกือบเป็นศูนย์ เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว เป็นต้น ปัจจุบันยังมีจำนวนพนักงานไม่เท่ากับในช่วงก่อนโควิด-19 สมาคมบริษัทนำเที่ยวแห่งอเมริกา (American Society of Travel Agents) ได้กล่าวว่าตัวเลขการจ้างงานของสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ (Bureau of Labor Statistics) ยังไม่สะท้อนครอบคลุมถึงคนงานในอุตสาหกรรมที่ทำในฐานะแรงงานอิสระ ซึ่งพนักงานกลุ่มนี้มักจะทำงานในภาคการท่องเที่ยวเพื่อหารายได้เสริม

 

Kareem George ตัวแทนจำหน่ายการท่องเที่ยวในเมือง Detroit กล่าวว่าตัวเลขการจองบริการการท่องเที่ยวใน 2567 มีการเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 จากปี 2562 โดยลูกค้าชาวอเมริกันมีแนวโน้มการท่องเที่ยวแบบหรูหรามากขึ้น เช่น ทัวร์แบบกรุ๊ปส่วนตัว การรับประทานมื้อค่ำสุดหรู เป็นต้น โดยบริษัทมีแผนที่จะจ้างพนักงานเพิ่ม 2 ตำแหน่งในปี 2567 ซึ่งการจ้างงานจะไม่สามารถตัดสินใจจากเหตุการณ์ปัจจุบันได้แต่จะต้องคำนึงถึงปีหน้าและในระยะยาวด้วย

 

ถึงแม้ว่าภาคการผลิตเผชิญกับภาวะถดถอยเล็กน้อยใน 1 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 23,000 ตำแหน่ง ซึ่งสอดคล้องกับดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (Purchasing Manager Index) ที่เพิ่มขึ้นในเดือนที่ผ่านมา นาย Timothy Fiore ประธานคณะกรรมการสถาบันการจัดซื้อ (Institute of Supply Management) กล่าวว่าอุตสาหกรรมดูเหมือนเริ่มต้นเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นการเริ่มต้นอย่างช้าๆ

 

 

ข้อเสนอแนะของสคต. นิวยอร์ก

การเติบโตของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ได้แสดงให้เห็นถึงภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ว่าจะมีแนวโน้มไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งการจ้างงานในสหรัฐฯ ของเดือนมกราคม 2567 เพิ่มขึ้น 353,000 ตำแหน่งจากเดือนก่อนหน้า ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงเปราะบางอยู่ ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยในสหรัฐฯ และ
ผู้ส่งออกไทยจึงควรติดตามข่าวสารและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อประกอบการตัดสินใจในการวางแผนการดำเนินงานและแผนกลยุทธ์ธุรกิจให้ทันตามสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงในการขยายสินค้าและการบริการ

 

ข้อมูลอ้างอิง: NYTimes

thThai