- อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ (GDP Growth)
สำนักงานวิเคราะห์เศรษฐกิจสหรัฐฯ (U.S. Bureau of Economic Analysis) กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ (U.S. Department of Commerce) รายงานมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติแท้จริง (Real GDP) สหรัฐฯ ไตรมาสที่ 3 ปี 2566 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.9 และมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติสหรัฐฯ ไตรมาสที่ 4 ปี 2566 ประมาณการครั้งที่ 2 (Second Estimate) ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2 (ลดลงจากประมาณการล่วงหน้าที่คาดว่าขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3)
แนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 4 ปี 2566 เป็นผลมาจากการขยายตัวของการ ใช้จ่ายภาคประชาชน การส่งออก การใช้จ่ายรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น การลงทุนระยะยาวไม่ใช่ที่อยู่อาศัย และการลงทุนระยะยาวสำหรับที่อยู่อาศัย ในขณะที่มูลค่าการลงทุนคงคลังภาคเอกชนและการนำเข้าในช่วงดังกล่าวกลับปรับตัวเพิ่มขึ้นซึ่งส่งผลต่อการขยายตัวของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติสหรัฐฯ ในช่วงดังกล่าว
สถิติอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปี 2562 – 2566
ที่มา: Bureau of Economic Analysis, U.S. Department of Commerce
- อัตราการว่างงาน
สำนักงานสถิติแรงงาน (Bureau of Labor Statistics) กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ (U.S. Department of Labor) รายงานอัตราการว่างงานสหรัฐฯ ประจำเดือนมกราคม 2567 (ข้อมูลล่าสุด) อยู่ในระดับเดียวกันกับเดือนที่แล้วที่ร้อยละ 3.7 มีจำนวนผู้ว่างงานในระบบเศรษฐกิจทั้งสิ้น 6.1 ล้านคนลดลง 2 แสนคนเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา
โดยในช่วงดังกล่าวสหรัฐฯ มีการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Nonfarm Payroll Employment) เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนทั้งสิ้น 353,000 ตำแหน่งใกล้เคียงกับเดือนที่ผ่านมา
- กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมเชี่ยวชาญเฉพาะด้านและการบริการทางธุรกิจ 74,000 ตำแหน่ง อุตสาหกรรมบริการด้านสุขภาพ 70,000 ตำแหน่ง อุตสาหกรรมการค้าปลีก 45,000 ตำแหน่ง การจ้างงานภาครัฐ 36,000 ตำแหน่ง อุตสาหกรรมสังคมสงเคราะห์ 30,000 ตำแหน่ง อุตสาหกรรมการผลิต 23,000 ตำแหน่ง และอุตสาหกรรมสารสนเทศ 15,000 ตำแหน่ง
- กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการจ้างงานลดลง ได้แก่ อุตสาหกรรมเหมืองแร่และขุดเจาะพลังงาน 5,000 ตำแหน่ง
- ส่วนการจ้างงานในอุตสาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรมค้าส่ง อุตสาหกรรมการขนส่งและคงคลังสินค้า อุตสาหกรรมการเงิน อุตสาหกรรมการโรงแรมและการท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมบริการอื่นๆ ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
สถิติอัตราการว่างงานสหรัฐฯ ย้อนหลัง 12 เดือน
ที่มา: Bureau of Labor Statistics, U.S. Department of Labor
- ภาวะเงินเฟ้อ (Consumer Price Index: CPI)
สำนักงานสถิติแรงงาน (Bureau of Labor Statistics) กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ (U.S. Department of Labor) รายงานภาวะเงินเฟ้อสหรัฐฯ ประจำเดือนมกราคม 2567 (ข้อมูลล่าสุด) ปรับตัวลดลงจากเดือนที่ผ่านมาเหลือร้อยละ 3.1 (ไม่ปรับฤดูกาล หรือ Not Seasonally Adjusted)
โดยในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาราคาสินค้าไม่ปรับฤดูกาล (Not Seasonally Adjusted) กลุ่มสินค้าอื่นๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 และกลุ่มสินค้าอาหารปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 ในขณะที่กลุ่มสินค้าพลังงานปรับตัวลดลงร้อยละ 4.6 รายละเอียด ดังนี้
3.1 กลุ่มสินค้าอาหาร ได้แก่ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (+ร้อยละ 3.4) ซีเรียลและเบเกอรี (+ร้อยละ 1.5) ผักและผลไม้สด (+ร้อยละ 1.1) เนื้อสัตว์และไข่ (-ร้อยละ 0.9) และผลิตภัณฑ์จากนม (-ร้อยละ 1.1)
3.2 กลุ่มสินค้าพลังงาน ได้แก่ ไฟฟ้า (+ร้อยละ 3.8) น้ำมันเชื้อเพลิง (-ร้อยละ 14.2) และก๊าซธรรมชาติ (-ร้อยละ 17.8)
3.3 กลุ่มสินค้าและบริการอื่น ได้แก่ บริการขนส่ง (+ร้อยละ 9.5) บุหรี่และยาสูบ (+ร้อยละ 7.4) ที่พักอาศัย (+ร้อยละ 5.4) วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ (+ร้อยละ 3.0) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (+ร้อยละ 2.3) รถยนต์ใหม่ (+ร้อยละ 0.7) เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม (+ร้อยละ 0.1) ส่วนรถยนต์มือสอง (Used Cars) (-ร้อยละ 3.5) และ บัตรโดยสารเครื่องบิน (-ร้อยละ 6.4)
สถิติอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ย้อนหลัง 12 เดือน
ที่มา: Bureau of Labor Statistics, U.S. Department of Labor
- ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence Index: CCI)
The Conference Board (CB) รายงานผู้บริโภคชาวอเมริกันมีความเชื่อมั่นต่อสภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence Index) ปรับตัวลดลงจากเดิม 110.9 ในเดือนมกราคม 2567 (ปีฐาน: ปี 2528 = 100) เหลือ 106.7 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ดัชนีความเชื่อมั่นในภาวะปัจจุบัน (Present Situation Index) ที่วัดแนวโน้มสภาวะเศรษฐกิจและการจ้างงานในปัจจุบันปรับตัวลดลงจากเดิม 154.9 ในเดือนมกราคม 2567 เหลือ 147.2 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 และดัชนีความคาดหวังของผู้บริโภค (Expectations Index) ซึ่งวัดจากมุมมองของผู้บริโภคต่อสถานการณ์ทางด้านรายได้ การดำเนินกิจการ และการจ้างงานในตลาดแรงงานในระยะสั้นปรับตัวลดลงจาก 81.5 ในเดือนมกราคม 2566 เหลือ 79.8 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ทั้งนี้ ดัชนีความคาดหวังของผู้บริโภคระดับต่ำกว่า 80.0 เป็นระดับที่แสดงให้เห็นถึงสัญญาณความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ภายในระยะเวลา 12 เดือนข้างหน้า
โดยรวมผู้บริโภคชาวอเมริกันในตลาดยังคงมีความกังวลต่อภาวะเงินเฟ้อในตลาด แต่แนวโน้มระดับความกังวลด้านราคาสินค้าอาหารและน้ำมันปรับตัวลดลง นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังคงมีความกังวลต่อภาวะการจ้างงานและสถานการณ์ด้านการเมืองในสหรัฐฯ อีกทั้ง ยังมีความเชื่อมั่นทางการเงินระยะสั้นในรอบ 6 เดือนข้างหน้าลดลงด้วย ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอาจจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าที่มีราคาสูง เช่น รถยนต์ บ้านที่อยู่อาศัย และเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ เป็นต้น
ที่มา: The Conference Board
- ภาวะการค้าปลีกของสหรัฐฯ
สำนักงานสถิติสหรัฐฯ (U.S. Census Bureau) กระทรวงพาณิชย์ สหรัฐฯ รายงานภาวะการค้าปลีกและ การบริการด้านอาหารประจำเดือนล่วงหน้า (Advance Monthly Sales for Retail and Food Services) สหรัฐฯ ประจำเดือนมกราคม 2566 (ข้อมูลล่าสุด) สามารถสรุปได้ ดังนี้
- มูลค่าการค้าปลีกสินค้าและการบริการด้านอาหาร (Retail & Food Services) หดตัวลงจากเดือนที่ผ่านมาร้อยละ 0.8 เหลือมูลค่าทั้งสิ้น 700,291 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- มูลค่าการค้าปลีก (Retail Trade Sales) หดตัวร้อยละ 1.1 เหลือมูลค่าทั้งสิ้น 605,198 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- มูลค่าการค้าปลีกไม่ผ่านร้านค้า (Nonstore Retailers) หดตัวลงร้อยละ 0.8 เหลือมูลค่าทั้งสิ้น 118,393 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
กลุ่มสินค้าและบริการที่มียอดค้าปลีกขยายตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ สินค้าเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน (ร้อยละ 1.5) กลุ่มการบริการร้านอาหารและเครื่องดื่ม (ร้อยละ 0.7) และสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม (+ร้อยละ 0.1) ตามลำดับ
กลุ่มสินค้าและบริการที่มียอดค้าปลีกหดตัวลง ได้แก่ สินค้าวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง (-ร้อยละ 4.1) สินค้าปลีกผ่านช่องทางร้านค้าอื่นๆ (-ร้อยละ 3.0) สินค้ารถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ (-ร้อยละ 1.7) สินค้าน้ำมันเชื้อเพลิง (-ร้อยละ 1.7) สินค้าเพื่อสุขภาพและสุขอนามัยส่วนบุคคล (-ร้อยละ 1.1) เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ (-ร้อยละ 0.4) สินค้าเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม (-ร้อยละ 0.2) และสินค้าอุปกรณ์กีฬา (-ร้อยละ 0.2) ตามลำดับ
ส่วนยอดจำหน่ายสินค้าปลีกทั่วไปไม่เปลี่ยนแปลงมากนักในช่วงดังกล่าว
ที่มา: U.S. Census Bureau, U.S. Department of Commerce
- ภาวะการค้าระหว่างประเทศ
สำนักงานสถิติสหรัฐฯ (U.S. Census Bureau) กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ รายงานสถิติดุลการค้า (ส่งออก – นำเข้า) สหรัฐฯ ประจำเดือนธันวาคม 2566 (ข้อมูลล่าสุด) สรุปได้ ดังนี้
สหรัฐฯ ขาดดุลการค้า ในเดือนธันวาคม 2566 สุทธิทั้งสิ้น 62,201 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 318 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.51 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา
สหรัฐฯ มีมูลค่าการส่งออกสินค้าและบริการในเดือนธันวาคม 2566 เป็นมูลค่า 258,248 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 3,923 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.54 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา แบ่งเป็น
- การส่งออกสินค้าเป็นมูลค่า 171,228 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 3,086 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 84 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา
- การส่งออกบริการเป็นมูลค่า 87,020 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 837 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 97 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา
โดยกลุ่มสินค้าและบริการที่สหรัฐฯ มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ทอง (ไม่ใช่สำหรับทางการเงิน) น้ำมันดิบ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมอื่นๆ สินค้าอุปโภคบริโภค อาหารและเครื่องดื่ม อาหารสัตว์ การบริการท่องเที่ยว การบริการขนส่ง และการบริการทางการเงิน เป็นต้น
สหรัฐฯ มีมูลค่าการนำเข้าสินค้าและบริการในเดือนธันวาคม 2566 เป็นมูลค่า 320,449 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 4,241 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.34 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา แบ่งเป็น
- การนำเข้าสินค้าเป็นมูลค่า 260,304 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 3,777 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 47 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา
- การนำเข้าบริการเป็นมูลค่า 60,146 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 465 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.78 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา
โดยกลุ่มสินค้าและบริการที่สหรัฐฯ มีมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยาและเวชภัณฑ์ โทรศัพท์เคลื่อนที่ สินค้าสำหรับใช้ภายในบ้าน น้ำมัน พลังงานนิวเคลียร์ และการบริการขนส่ง เป็นต้น
- ภาวะการค้าระหว่าง สหรัฐฯ – ไทย
ในเดือนธันวาคม 2566 (ข้อมูลล่าสุด) สหรัฐฯ และไทยมีมูลค่าการค้าสุทธิทั้งสิ้น 5,816.73 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (อันดับที่ 17) เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.35 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยสหรัฐฯ มีดุลการค้า ขาดดุล ไทยเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 3,267.68 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.10 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา
- สหรัฐฯ นำเข้าจากไทย เป็นมูลค่าทั้งสิ้น 4,542.20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (อันดับที่ 14) เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.05 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยสินค้าหลักนำเข้าจากไทย ได้แก่ อุปกรณ์โทรศัพท์ (HS Code 8517) เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 เครื่องประมวลผลข้อมูล (HS Code 8471) เพิ่มขึ้นร้อยละ 38.53 ชิ้นส่วนกึ่งตัวนำไฟฟ้า (HS Code 8541) เพิ่มขึ้นร้อยละ 48.52 ยางรถยนต์ (HS Code 4011) เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.22 และหม้อแปลงไฟฟ้า (HS Code 8504) เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.18
ตารางแสดง: เปรียบเทียบมูลค่าสหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจากไทย 10 อันดับแรกเดือนธันวาคม 2566
- สหรัฐฯ ส่งออกไปไทย เป็นมูลค่าทั้งสิ้น 1,52 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (อันดับที่ 27) ลดลงร้อยละ 6.02 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยสินค้าหลักส่งออกไปไทย ได้แก่ น้ำมันปิโตรเลียม (HS Code 2709) เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.81 แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (HS Code 8542) เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.10 ชิ้นส่วนรถแทรกเตอร์ (HS Code 8708) เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.56 เครื่องบินพาณิชย์ (HS Code 8800) เพิ่มขึ้นร้อยละ 92.50 ก๊าซปิโตรเลียม (HS Code 2711) เพิ่มขึ้นร้อยละ 328,581.59 และโทรศัพท์ (HS Code 8517) เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.12
ตารางแสดง: เปรียบเทียบมูลค่าสหรัฐฯ ส่งออกสินค้าไปไทย 10 อันดับแรกเดือนธันวาคม 2566
ที่มา: Global Trade Atlas
มูลค่าการค้าระหว่างสหรัฐฯ – ไทย (เฉพาะรัฐในเขตพื้นที่อาณาดูแลของ สคต. ชิคาโก)
ในเดือนธันวาคม 2566 สหรัฐฯ และไทย มีมูลค่าการค้าระหว่างประเทศเฉพาะในเขตพื้นที่อาณาดูแลของ สคต. ชิคาโก เป็นมูลค่าทั้งสิ้น 1,370.36 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.37 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยรัฐในเขตพื้นที่ดูแลมีมูลค่าการนำเข้าจากไทยทั้งสิ้น 1,047.48 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 46.08 และรัฐในเขตพื้นที่อาณาดูแลมีมูลค่าการส่งออกไปไทยทั้งสิ้น 322.88 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 7.88 โดยรวมรัฐในเขตพื้นที่อาณาดูแลมีมูลค่าการค้าระหว่างประเทศ ขาดดุล ไทยทั้งสิ้น 724.60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 97.67 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา
- รัฐที่นำเข้าจากไทย ได้แก่ รัฐอิลลินอยส์ (ร้อยละ 46.01) รัฐโอไฮโอ (ร้อยละ 12.55) รัฐเคนทักกี (ร้อยละ11.25) รัฐมิชิแกน (ร้อยละ 9.02) และรัฐอินดีแอนา (ร้อยละ 6.55) ตามลำดับ โดยสินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ จุกและฝาโลหะ (HS Code 8309) ร้อยละ 52 เครื่องพิมพ์ (HS Code 8469) ร้อยละ 20.22 วัสดุก่อสร้างพลาสติก (HS Code 3925) ร้อยละ 6.70 คอนเทนเนอร์ (HS Code 8609) ร้อยละ 3.76 เรดาร์ (HS Code 8526) ร้อยละ 2.01 เครื่องรับสัญญาณวิทยุ (HS Code 8527) ร้อยละ 2.00 อุปกรณ์เครื่องพิมพ์ (HS Code 8443) ร้อยละ 1.29 อุปกรณ์ทางการแพทย์ (HS Code 9018) ร้อยละ 0.94 นิกเกิลแผ่น (HS Code 7506) ร้อยละ 0.83 และอุปกรณ์สำนักงาน (HS Code 8472) ร้อยละ 0.73 ตามลำดับ
- รัฐที่ส่งออกไปไทย ได้แก่ รัฐมิชิแกน (ร้อยละ 26.18) รัฐโอไฮโอ (ร้อยละ 15.67) รัฐอิลลินอยส์ (ร้อยละ 15.22) ลุยเซียนา (ร้อยละ 10.13) และรัฐมินนิโซตา (ร้อยละ 10.03) ตามลำดับ โดยสินค้านำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ จุกและฝาโลหะ (HS Code 8309) ร้อยละ 14.52 เศษกากโลหะ (HS Code 2619) ร้อยละ 7.79) ถ่านโค้ก (HS Code 2704) ร้อยละ 7.71 แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (HS Code 8542) ร้อยละ 86 รถเข็นผู้พิการ (HS Code 8713) ร้อยละ 2.93 เครื่องเซ็นตริฟิวจ์ (HS Code 8421) ร้อยละ 2.00 วัสดุก่อสร้างพลาสติก (HS Code 3925) ร้อยละ 1.74 นิกเกิลแผ่น (HS Code 7506) ร้อยละ 1.62 อุปกรณ์ทางการแพทย์ (HS Code 9018) ร้อยละ 1.61 และแป้งธัญพืช (HS Code 1106) ร้อยละ 1.58 ตามลำดับ
สถิติการค้าสหรัฐฯ – ไทย (เฉพาะรัฐในเขตพื้นที่ดูแลของ สคต. ชิคาโก)
ที่มา: U.S. Census Bureau, U.S. Department of Commerce
******************************
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครชิคาโก