สถานการณ์ท่าเรือในบัลติมอร์
เหตุการณ์สะพานฟรานซิส สก็อตต์ คีย์ (Francis Scott Key) ถล่มในเขตบัลติมอร์ รัฐแมรีแลนด์ได้คร่าชีวิตคนงานชาวฮิสแปนิก (Hispanic) และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของบัลติมอร์ นักวิชาการกล่าวว่าในฐานะที่บัลติมอร์เป็นเมืองเล็กๆ การที่สะพานถล่มอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจของเมืองได้
ท่าเรือในบัลติมอร์เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เป็นท่าเรือในอันดับที่ 9 ของสหรัฐฯ ในแง่ของปริมาณการค้า ในปี 2566 ท่าเรือมีปริมาณการค้าประมาณ 50 ล้านตันหรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 80,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีสินค้าหลักของท่าเรือเป็นรถยนต์ เครื่องจักร อุปกรณ์การเกษตร ก๊าซธรรมชาติ และน้ำตาล และมีการจ้างงานกว่า 19,000 ตำแหน่ง โดยปี 2566 มีการขนส่งรถยนต์กว่า 847,158 คัน โดยเป็นสัดส่วนการนำเข้าประมาณกว่าร้อยละ 70 หากมีการปิดท่าเรือในบัลติมอร์จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเป็นมูลค่ากว่า 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน
ปัจจุบันท่าเรือได้มีซากปรักหักพังของสะพานเกลื่อนในแม่น้ำปาแทบสโก (Patapsco) โดยเจ้าหน้าที่กล่าวว่าขณะนี้อยู่ในการของบประมาณฉุกเฉินจากรัฐบาลกลางสหรัฐฯ เพื่อที่จะเก็บกวาดซากสะพานเพื่อเคลียร์เส้นทางให้เรือสามารถผ่านได้และสามารถดำเนินการก่อสร้างสะพานขึ้นใหม่ ทั้งนี้ บริษัทประกันภัยได้เข้ามาร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายดังกล่าวด้วย
Ms. Orlie Prince รองประธานอาวุโสและผู้จัดการบริษัทจัดอันดับเครดิตเรตติ้ง Moody’s กล่าวว่าเขตและเมืองบัลติมอร์มีอันดับเครดิตที่สูงมาก เนื่องจากมีฐานภาษีที่ครอบคลุม หลากหลาย และแข็งแรงซึ่งจะทำให้บัลติมอร์สามารถรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดอย่างวิกฤตครั้งนี้ได้ บริษัทได้ประเมินความน่าเชื่อถือทางเครดิตของรัฐบาลท้องถิ่นและได้คำนึงภาพรวมของเศรษฐกิจแล้วมองว่ากิจกรรมท่าเรือจะสามารถฟื้นฟูภายได้ในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าประกอบกับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลกลางสหรัฐฯ จะทำให้มีการสร้างสะพานใหม่มาแทนที่อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบในระยะยาว
ภาพรวมเศรษฐกิจของบัลติมอร์
อัตราการว่างงานที่ต่ำ
ข้อมูลจากกระทรวงแรงงานพบว่าพื้นที่เขตเมืองของบัลติมอร์ได้มีอัตราการว่างงานของเดือนมกราคม 2567 อยู่ที่ร้อยละ 2.8 ซึ่งต่ำกว่าอัตราการว่างงานเฉลี่ยของทั่วประเทศในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ที่ร้อยละ 3.9 โดยอัตราการว่างงานของบัลติมอร์อยู่ที่อันดับ 43 จาก 389 เขตทั่วประเทศที่มีผู้อยู่อาศัยมากกว่า 1 ล้านคน ซึ่งมีอัตราการว่างงานเท่ากับเมืองวอชิงตัน ดี.ซี. และต่ำกว่าเมืองทางตะวันออกอื่นๆ เช่น เมืองบอสตัน เมืองออร์แลนโด เมืองแอตแลนต้า เป็นต้น
ตลาดแรงงานในเขตบัลติมอร์มีความหลากหลาย อาทิ อุตสาหกรรมสุขภาพ การศึกษา การให้บริการทางการเงิน และงานราชการ ท่าเรือเป็นแหล่งการจ้างงานสำคัญในเขตบัลติมอร์ โดยมีการจ้างงานโดยตรง 19,970 ตำแหน่ง หรือมีการจ้างงานนอกภาคการเกษตรทั้งหมดร้อยละ 1.4 อย่างไรก็ดี ในช่วงนี้ที่ท่าเรือยังไม่สามารถดำเนินกิจการได้ จึงทำให้ความมั่นใจของสถานะพนักงานที่ทำงานในท่าเรือยังไม่ชัดเจน แต่คาดว่าจะไม่มีการเลิกจ้างงานถาวร นอกจากนี้ พนักงานอาจหางานใหม่โดยไปทำงานกับบริษัทอื่นในพื้นที่ที่มีลักษณะงานคล้ายกันได้
นาย Matt Jaffe นักวิเคราะห์ของบริษัท Moody’s กล่าวว่า ขณะที่ท่าเรือบัลติมอร์ถูกปิดและอยู่ในระหว่างการเก็บกวาดซาก เมืองบัลติมอร์ยังมีท่าเรือ Tradepoint Atlantic ซึ่งเป็นท่าเรือของบริษัทเอกชนที่ให้บริการอยู่ จึงคาดว่าตลาดแรงงานของบัลติมอร์ยังมีความยืดหยุ่นเพียงพอแม้ว่าจะเผชิญเหตุการณ์เรือชนสะพานบัลติมอร์
อัตราเงินเฟ้อต่ำ
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อสูง แต่บัลติมอร์มีปัญหาภาวะเงินเฟ้อเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยข้อมูลของกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานดัชนีราคาจากรายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (Core Personal Consumption Expenditure Index : PCE Index) เดือนกุมภาพันธ์ 2567 อยู่ที่ร้อยละ 1.7 จากปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นอัตราที่น้อยกว่าดัชนี PCE เฉลี่ยของสหรัฐฯ ที่อยู่ที่ร้อยละ 3.2 จากช่วงเวลาเดียวกัน และต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ร้อยละ 2 และหากเรียงอันดับดัชนี PCE พบว่าบัลติมอร์มีดัชนีน้อยที่สุดจากเขตเมือง 23 เขตที่มีผู้อาศัยมากกว่า 2.5 ล้านคน
อัตราเงินเฟ้อในบัลติมอร์มีการลดลงอย่างรวดเร็วในปี 2566 จากร้อยละ 5.3 ในเดือนเมษายนสู่ร้อยละ 2.8 ในเดือนมิถุนายน โดยราคาอาหารและเครื่องดื่มในเดือนมิถุนายน 2566 ลดลงอยู่ที่ร้อยละ 0.6 และราคาพลังงานลดลงอยู่ที่ร้อยละ 1.8 Ms. Christina DePasquale รองศาสตราจารย์มหาวิทยาลัย Johns Hopkins Carey Business School กล่าวว่าอัตราเงินเฟ้อในบัลติมอร์ที่ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยของสหรัฐฯ ทำให้ค่าครองชีพในเมืองถูกกว่าเมืองอื่นๆ ในประเทศโดยเปรียบเทียบ ทำให้เมืองบัลติมอร์จึงดึงดูดให้ประชากรย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองมากขึ้น
ราคาที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม
ตลาดที่อยู่อาศัยในบัลติมอร์ค่อนข้างมีราคาที่เหมาะสม ข้อมูลของสมาคมนายหน้าค้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐฯ พบว่าค่ามัธยฐานหรือค่ากึ่งกลางของราคาที่อยู่อาศัยในพื้นที่เขตเมืองไตรมาส 4 ปี 2566 อยู่ที่ 383,900 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งค่อนข้างต่ำกว่าค่ามัธยฐานของราคาที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ที่อยู่ที่ 384,500 ดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม การเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในสหรัฐฯ ของชาวอเมริกันยังเป็นเรื่องยากลำบาก เนื่องจาก 2 ปีที่ผ่านมาธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่สูงสุดในรอบหลายทศวรรษ ซึ่งการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ส่งผลกระทบต่อดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัย แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะไม่ได้มีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยก็ตาม
ข้อมูลจากบริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์ Freddie Mac รายงานค่าเฉลี่ยของดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยระยะยาว 30 ปีในเดือนตุลาคม 2566 อยู่ที่ร้อยละ 7.79 และในเดือนมีนาคม 2567 อยู่ที่ร้อยละ 6.79 ซึ่งดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยดังกล่าวสูงสุดในรอบ 15 ปี
นอกจากนี้ อัตราส่วนของยอดชำระสินเชื่อที่อยู่อาศัยต่อเดือนต่อรายได้และอัตราส่วนค่ามัธยฐานราคาที่อยู่อาศัยต่อรายได้ของบัลติมอร์อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าอัตราส่วนในระดับประเทศ และจำนวนการออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคารสำหรับ 1 ยูนิตปี 2566 อยู่ที่ 3,679 ฉบับ ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของจำนวนการออกใบอนุญาตของตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี พบว่ามีการก่อสร้างเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับปี 2565 แสดงให้เห็นว่าสินค้าคงคลังของตลาดที่อยู่อาศัยยังคงมีเสถียรภาพ
ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับภาคธุรกิจและการขนส่ง
บริษัทหลายแห่งกล่าวว่าการปิดท่าเรือจะไม่ส่งผลต่อการดำเนินงานของบริษัทในระยะสั้น บริษัทผลิตน้ำตาลที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ASR Group รายงานว่าบริษัทยังมีวัตถุดิบจำนวนมากสำหรับ 6-8 สัปดาห์ในโรงงานที่บัลติมอร์ บริษัทพลังงาน Berkshire Hathaway Energy กล่าวว่าการดำเนินธุรกิจยังไม่ได้รับผลกระทบจากการปิดท่าเรือ เช่นเดียวกับผู้ผลิตรถยนต์อย่างบริษัท BMW บริษัท Volkswagen บริษัท Mercedes และบริษัท General Motors คาดว่าการปิดท่าเรือจะส่งผลกระทบเพียงเล็กน้อย หรืออาจทำให้เกิดความล่าช้าเท่านั้น อย่างไรก็ดี นาย John Lawler ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินของบริษัท Ford Motor กล่าวว่าบริษัทอาจต้องเปลี่ยนย้ายไปขนส่งที่ท่าเรืออื่นแทน และอาจทำให้การขนส่งมีความล่าช้ามากขึ้นเล็กน้อย
ขณะนี้เรือในบัลติมอร์อยู่ระหว่างการรอคำสั่งในการเปลี่ยนเส้นทางไปยังท่าเรืออื่นๆ ในพื้นที่ชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ เช่น ท่าเรือในเมืองฟิลาเดลเฟียในรัฐเพนซิลเวเนีย เมืองวิลมิงตันในรัฐเดลาแวร์ เมืองนวร์กในรัฐนิวเจอร์ซี เมืองนอร์ฟอล์กในรัฐเวอร์จิเนีย เมืองชาร์ลสตันในรัฐเซาท์แคโรไลนา เมืองแจ็กสันวิลล์ในรัฐฟลอริดา เป็นต้น ทั้งนี้ บางส่วนของท่าเรือในบัลติมอร์ยังคงเปิดดำเนินการอยู่ ซึ่งทำให้ยังสามารถรองรับรถยนต์จากบริษัท BMW และ Volkswagen ได้อยู่
การโจมตีในพื้นที่ทะเลแดงของกลุ่มกองกำลังติดอาวุธฮูตีได้ลดการสัญจรผ่านคลองสุเอซ ซึ่งเส้นทางเดินเรือดังกล่าวคิดเป็นร้อยละ 15 ของการขนส่งสินค้าทางเรือทั้งหมด การเปลี่ยนเส้นทางการสัญจรระหว่างเอเชียและยุโรปทำให้ราคาของการขนส่งเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ คลองปานามามีความสำคัญต่อการค้าทางทะเลของโลกหรือคิดเป็นร้อยละ 6 ของการค้าทางทะเลทั้งหมด กำลังประสบปัญหาระดับน้ำทะเลที่ลดลง ทำให้ความสามารถในการรับรองเรือที่ผ่านคลองปานามาลดน้อยลง และเนื่องด้วยภาวะภัยแห้งในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2566 ทำให้มีการประกาศข้อกำหนดของเรือในการสัญจรผ่านคลองปานามา ซึ่งอาจส่งผลในระยะยาว ดังนั้น เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกรณีเรือชนสะพานในบัลติมอร์และการโจมตีในทะเลแดงและผลกระทบจากโควิด-19 แล้ว ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าผลกระทบจากการพังของสะพานจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น
ข้อเสนอแนะของสคต. นิวยอร์ก
เหตุการณ์เรือชนสะพานในบัลติมอร์ได้สร้างความสะเทือนใจให้แก่ชาวอเมริกันอย่างมาก และเนื่องจากท่าเรือไม่สามารถเปิดให้บริการได้ก็อาจส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและเศรษฐกิจในพื้นที่ อย่างไรก็ดี ทั้งนักวิชาการและภาคธุรกิจมองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบในระยะสั้นเท่านั้น จึงไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากเท่าที่ตลาดกังวล ผู้ประกอบการไทยและผู้ส่งออกไทยจึงควรติดตามสถานการณ์ที่อาจเข้ามากระทบเศรษฐกิจและสังคมในสหรัฐฯ เพื่อวางแผนการดำเนินงานและแผนกลยุทธ์ธุรกิจให้ทันตามการเปลี่ยนแปลง
ข้อมูลอ้างอิง: CNN, Alijazeera