อินเดียมีระบบปกครองแบบรัฐสภาตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด โดยกระจายอำนาจระหว่างรัฐบาลกลางและรัฐบาลแห่งรัฐต่างๆ กล่าวได้ว่าอินเดียถือเป็นประเทศประชาธิปไตยขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ประธานาธิบดีอินเดียทำหน้าที่เป็นประมุขของประเทศ และเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดสำหรับกองกำลังป้องกันประเทศ ในขณะที่ นายกรัฐมนตรีของอินเดียทำหน้าที่เป็นผู้นำพรรคการเมืองหรือเป็นพันธมิตรแห่งพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร (Lok Sabha) นายกรัฐมนตรียังเป็นผู้นำฝ่ายนิติบัญญัติของรัฐบาลอินเดีย เป็นหัวหน้าที่ปรึกษาของประธานาธิบดีอินเดียและเป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรี มีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี
อินเดียแบ่งออกเป็นรัฐตามภูมิภาค (รวมรัฐบาลกลาง) โดยแต่ละรัฐจะมีผู้ว่าการรัฐเป็นผู้นำ แต่อำนาจบริหารอยู่ภายใต้ตำแหน่งมุขรัฐมนตรี (Chief Minister) ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองหรือพันธมิตรทางการเมืองที่ชนะเสียงข้างมากในการเลือกตั้งระดับภูมิภาคหรือ State Assembly Election และใช้อำนาจเพื่อบริหารภายในรัฐ ทั้งนี้ มุขมนตรีของแต่ละรัฐมีอํานาจในการบริหาร และทำงานอย่างบูรณาการร่วมกับนายกรัฐมนตรีอินเดียหรือคณะรัฐมนตรีเพื่อจัดการประเด็นต่างๆ ที่อยู่ในความความสนใจของรัฐบาลกลางและรัฐบาลแห่งรัฐ เขตดินแดนสหภาพบางแห่งมีการเลือกตั้ง เพื่อให้ได้มาซึ่งผู้แทนและรัฐบาลในการบริหารบ้านเมือง ส่วนดินแดนสหภาพอื่นๆ ที่มีขนาดเล็ก ผู้ว่าการรัฐจะทำหน้าที่ปกครองและบริหารดินแดนในอาณัตินั้นๆ นอกจากนี้ ประธานาธิบดีอินเดียยังสามารถบริหารกิจการบ้านเมืองผ่านผู้ว่าการรัฐในแต่ละรัฐ และยังมีอำนาจในการยุบสภาหากมีความจำเป็น เพื่อให้มีกระบวนการเลือกตั้งเกิดขึ้นใหม่ได้
ข้อมูลเพิ่มเติม
1. การเลือกตั้งในสาธารณรัฐอินเดียยังครอบคลุมถึงการเลือกตั้งในระดับต่างๆ ดังนี้ ประธานาธิบดีแห่งอินเดีย รองประธานาธิบดี สมาชิกรัฐสภาในสภาสูงหรือ“ราชยสภา” (วุฒิสภา/Rasta Sabha) และ“โลกสภา” (สภาผู้แทนราษฎร/Lok Sabha) สมาชิกสภานิติบัญญัติ สมาชิกสภานิติบัญญัติรวมถึงสมาชิกสภาในดินแดนรัฐปกครองตนเองจัมมู แคชเมียร์ และเมืองหลวงเดลีและดินแดนสหภาพปูดูเชรี สมาชิกของหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น เทศบาล หรือกรณีที่การเลือกตั้งเกิดขึ้นเมื่อบางตำแหน่งหรือองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งเสียชีวิต ลาออกหรือถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง
2.การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (Lok Sabha) ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนอินเดียอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง โดยผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งจะสามารถลงคะแนนได้เฉพาะในเขตเลือกตั้งที่ตนมีสิทธิ์เท่านั้น ผู้สมัครที่ชนะการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร (Lok Sabha) ประชาชนจะเรียกว่า “สมาชิกรัฐสภา” มีวาระการดํารงตําแหน่ง 5 ปี หรือจนกว่าจะมีการยุบสภาตามคำสั่งของประธานาธิบดีที่เป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะประชุมกันที่ Lok Sabha Chambers กรุงนิวเดลี เพื่อหารือเกี่ยวกับการออกกฎหมายใหม่ ยกเลิก หรือปรับปรุงกฎหมายที่มีอยู่เดิมที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนอินเดีย อนึ่ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สภาล่าง) มีจำนวน 543 คน มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เเต่ละเขตมีผู้แทนได้หนึ่งคน
3.กำหนดการเลือกตั้ง ส.ส.ปี 2024: รัฐบาลมีกำหนดแผนไว้ทั้งสิ้น 7 ระยะ 28 รัฐ 8 ดินแดนสหภาพ (Union Territories) ทั่วทั้งประเทศอินเดีย โดยเริ่มตั้งเเต่วันที่ 19 เม.ย.2567 ถึง 1 มิ.ย.2567 สำหรับเมืองมุมไบ ตรงกับระยะที่ 5 ในวันที่ 20 พ.ค.67 เเละวันนับคะเเนนตรงกับวันที่ 4 มิถุนายน 2567
ผลกระทบ
1. การเติบโตทางเศรษฐกิจ: รัฐบาลที่มีความมั่นคง สามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยความสะดวกต่อการทำธุรกิจ ย่อมส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศเกิดการเจริญเติบโต ซึ่งจะส่งเสริมความต้องการของสินค้าและบริการของไทยเป็นโอกาสทางการค้าที่เพิ่มขึ้น
2. การกระชับความสัมพันธ์ระดับทวิภาคี: รัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับความร่วมมือระหว่างประเทศ อาจส่งผลให้การกระชับความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีระหว่างอินเดียและไทย นำไปสู่การพัฒนาการขยายตลาด เกิดการสร้างข้อตกลงทางการค้า และความร่วมมือต่างๆ ที่เอื้ออำนวยต่อการดำเนินธุรกิจมากขึ้นในอนาคต หากผลการเลือกตั้ง สอดคล้องกับนโยบายที่ได้มีการหาเสียงเอาไว้ เช่น การส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศและการเปิดการค้าเสรีในตลาดอินเดีย
3. ความไม่แน่นอนเชิงนโยบาย:การเลือกตั้งมักจะนำมาซึ่งความไม่แน่นอน หากรัฐบาลยังไม่สามารถจัดตั้งได้ภายหลังเลือกตั้ง จะส่งผลให้การดำเนินธุรกิจ การลงทุนที่ต้องผ่านการตัดสินใจจากภาครัฐขาดความชัดเจน ส่งผลกระทบต่อนักลงทุน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เกิดเป็นอุปสรรคทางการค้า ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยควรติดตามสถานการณ์ที่อาจส่งผลต่อการค้า ทั้งความผันผวนของสกุลเงินซึ่งจะส่งผลต่อความสามารถทางการแข่งขันของการส่งออกไทย รวมถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงกฎระเบียบ ส่งผลให้เกิดความท้าทายต่อการเข้าสู่ตลาดอินเดีย
ข้อคิดเห็น
อินเดียมีประชากรมากที่สุดของโลกด้วยจำนวนกว่า 1.4 พันล้านคน มีผู้มีสิทธิออกเสียง 969 ล้านคนในการเลือกตั้งในปีนี้ หรือคิดเป็น 1 ใน 8 ของประชากรทั่วโลก เมื่อก้าวเข้าสู่ช่วงเลือกตั้งทั่วไปในปี 2567 สถานการณ์การเมืองของอินเดียได้ทวีความเข้มข้นขึ้น เห็นได้จากจากการที่รัฐบาลอินเดียเผชิญความท้าทายจากพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งรวมตัวกันเมื่อเดือนกรกฎาคม 2566 จัดตั้งกลุ่ม INDIA (Indian National Developmental Inclusive Alliance) เพื่อต่อต้านพรรค BJP และเรียกคะแนนนิยมจากประชาชนกลับคืน ปัจจุบันมีสมาชิกแนวร่วมพรรคฝ่ายค้านเข้าร่วมจำนวน 28 พรรค อาทิ พรรค Peasants and Workers Party of India (PWP) และพรรค Aam Aadmi Party (AAP) อย่างไรก็ตาม กลุ่ม INDIA ยังไม่เป่นเอกภาพเท่าที่ควร เนื่องจากพรรคฝ่ายค้านที่เข้าร่วมต่างมุ้งแสวงผลประโยชน์จากการได้จำนวนที่นั่งในโลกสภา ซึ่งต่างฝ่ายต่างแสวงหาผลประโยชน์
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยที่สนใจทำธุรกิจในตลาดอินเดีย ควรติดตามสถานการณ์ทางการเมืองอย่างใกล้ชิด เพื่อรับทราบข้อมูลการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อนโยบายทางการค้าของอินเดียกับต่างประเทศ ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ในการกระจายความเสี่ยงในตลาดที่มีศักยภาพ เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงที่เกี่ยวเนื่องกับนโยบายที่ยังอาจขาดความชัดเจนจากรัฐบาลใหม่ ผู้ส่งออกไทยอาจพิจารณาการกระจายการลงทุนเพื่อดำเนินธุรกิจในตลาดส่งออกที่มีศักยภาพแตกต่างกันไป เพื่อลดการพึ่งพากับตลาดอินเดียเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ ควรมีโมเดลธุรกิจที่มีความยืดหยุ่น และพร้อมปรับให้เข้ากับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปตามนโยบายของรัฐบาลใหม่โดยอาจมีความจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ทางการค้าเพื่อให้สามารถครองสัดส่วนตลาด สร้างแต้มต่อทางการค้า และลดความเสี่ยงนโยบายการค้า ที่อาจกำหนดข้อจำกัดในการนำเข้าสินค้าจากไทยได้
ที่มา: https://www.indiatoday.in/india/story/lok-sabha-election-2024-dates-phase-wise-schedule-constituency-wise-details-all-you-need-to-know-2515626-2024-03-16#phase%20I