ปัจจุบัน ประเทศจีนได้กลายเป็นมหาอำนาจด้านยานยนต์ระดับโลกในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ในปี 2023 จีนเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลกด้วยจำนวนรถยนต์นั่งโดยสารส่วนบุคคลประมาณ 26 ล้านคัน และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ 4 ล้านคัน และเพิ่งเข้ามาแทนที่ญี่ปุ่นในฐานะผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่ที่สุด ปัจจุบัน จีนถือเป็นตลาดผู้นำระดับโลกด้านยานยนต์ไฟฟ้าและขณะนี้จีนสามารถผลิตรถยนต์เป็นจำนวนมากสองเท่าของจำนวนที่ขายได้ นั่นหมายถึงจีนต้องส่งออกและลดราคาอย่างดุเดือดเพื่อสร้างความต้องการจากต่างประเทศ
เมื่อเร็วๆ นี้ประธานคณะกรรมาธิการ นาง Ursula von der Leyen ได้แสดงความคิดเห็นว่า การนำเข้าจำนวนมากของรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกที่ผลิตในจีนและได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐจีน ทำให้คณะกรรมาธิการยุโรปต้องทบทวนอัตราภาษีศุลกากร เพื่อเกิดความเป็นธรรมในการแข่งขันและปกป้องผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าท้องถิ่น
สำหรับผู้ผลิตจีน การเข้าสู่ตลาดยุโรปซึ่งเป็นบ้านของ Volkswagen Renault Fiat และอื่น ๆ อีกมากมาย ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงถึงศักยภาพของพวกเขา แต่ยังหมายถึงการมีส่วนในการกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรม ซึ่งกำลังมุ่งไปสู่ยุคของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) การเข้ามาของแบรนด์จีนหรือผู้ผลิตสัญชาติจีนสามารถแบ่งได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ ดังต่อไปนี้
กลุ่มแบรนด์สัญชาติยุโรปทุนจีน
แบรนด์ MG หรือบริษัท Morris Garages มีต้นกำเนิดจากประเทศอังกฤษ โดยก่อตั้งในปี 1924 ปัจจุบันเป็นบริษัทลูกของกลุ่มบริษัท SAIC Motor ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจจีนและผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 7 ของโลก ในปี 2023 มียอดขายมากกว่า 2 แบรนด์ญี่ปุ่นนำเข้าอย่าง Honda และ Mitsubishi
แบรนด์ Polestar เป็นแบรนด์น้องใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในตลาดรถยนต์เยอรมันในปี 2020 และเปิดตัวโชว์รูมแห่งแรกในเยอรมนี ที่เมือง Düsseldorf เดิมทีPolestar เป็นผู้ผลิตรถแข่งสัญชาติสวีเดน และต่อมาบริษัท Volvo Car Corporation ได้เข้ามาเป็นหุ้นส่วนใหญ่และให้ Polestar เป็นฝ่ายพัฒนารถแข่งของ Volvo และในปี 2010 บริษัท Geely Holding Group ได้เข้ามาเป็นเจ้าของแบรนด์ Volvo จนมาถึงปี 2017 Polestar ภายใต้การบริหาร ของ Geely ได้พัฒนามาเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่มีความเป็นรถแข่งและกลิ่นอายดีไซน์ความ
หรูหราแบบสแกนดิเนเวีย ในปี 2023 Polestar มียอดขายกว่า 6,300 คันในเยอรมนี ซึ่งมากว่าแบรนด์อย่าง Alfa Romeo Subaru Lexus และ Jagaur
กลุ่มแบรนด์จีน
NIO เป็นอีกผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Start-Up สัญชาติจีนที่ต้องจับกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมี่ยม ปัจจุบันมี โชว์รูม 4 สาขาในเยอรมนี และ 15 สถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่อัตโนมัติ โดยเทคโนโลยีการเปลี่ยนแบตเตอรี่นั้น เป็นจุดเด่นของแบรนด์ NIO ทำให้ผู้ใช้งานมีความสะดวกและมีความรวดเร็วใกล้เคียงกับการเติมน้ำมันในรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน
BYD เป็นแบรนด์ที่ดำเนินธุรกิจและประสบความสำเร็จมาอย่างยาวนานในประเทศจีน ที่เริ่มต้น พัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่และพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ามาตั้งแต่ปี 2003 และเริ่มจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในเยอรมนี ในปี 2022 และปัจจุบันมีรถว่า 6 รุ่นให้จำหน่าย
นอกจากกลยุทธ์ด้านราคาแล้ว การพัฒนาแบรนด์และความไว้วางใจ ตัวแทนจำหน่ายและเครือข่ายการขายอย่างครอบคลุม ตลอดจนบริการหลังการขาย ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีนเหล่านี้ มักจะสร้างโชว์รูมเล็กๆแต่อยู่ใจกลางเมืองในเมืองใหญ่ เช่นในเมือง Frankfurt Polestar มีโชว์รูมอยู่ที่ Hauptwache และ NIO ก็ตั้งโชว์รูมอยู่ถัดไปที่ Eschenheimer Tor ส่วน BYD ก็ตั้งโชวร์รูมอยู่ไม่ไกล ที่บริเวณ Opernplatz โดยกลยุทธ์ตั้งโชว์รูมในใจกลางเมืองนี้ถูกใช้โดย Tesla มาก่อน
อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีนมีช่องทางการขายที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น Polestar และ Great Wall Motor ยังใช้กลุ่มตัวแทนจำหน่ายรถยนต์อิสระขนาดใหญ่ อย่าง Emil Frey เพื่อจำหน่ายรถยนต์ของพวกเขา ในเยอรมนี ผู้บริโภคยังคงคุ้นเคยกับระบบตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ที่แพร่หลายและมีการใช้งานมานานหลายทศวรรษ ในขณะที่ BYD ให้ Emil Frey เป็นตัวแทนจำหน่ายในสวิตเซอร์แลนด์ และในเยอรมนี BYD กลับเป็นผู้จำหน่ายเอง
ในขณะนี้ยังคงมีข้อกังวลเกี่ยวกับแบรนด์จีนอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงข้อสงสัยเกี่ยวกับคุณภาพภาพลักษณ์เครือข่ายศูนย์บริการที่มีจำนวนน้อยเกินไป การจัดหาอะไหล่ และสุดท้ายคือข้อกังวลเกี่ยวกับการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งาน เนื่องจากรถยนต์ที่เชื่อมต่อเครือข่ายดิจิทัลสามารถกลายเป็นเครื่องดูดข้อมูลส่วนตัวผู้ใช้งานจำนวนมากได้
ปัจจุบันส่วนแบ่งการตลาดของแบรนด์จีนในยุโรปยังต่ำอยู่ แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมากในปีต่อๆ ไป สิ่งนี้ทำให้เกิดความกังวลต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ท้องถิ่น แม้ว่าผู้ผลิตรถยนต์ระดับพรีเมี่ยมอย่าง Mercedes และ BMW ที่มีข้อได้เปรียบด้าน Branding คุณภาพและภาพลักษณ์ของสินค้า จะยังไม่ได้รับผลกระทบมาก แต่ทั้งสองค่ายรวมถึงผู้ผลิตท้องถิ่นอื่น ๆ ได้แสดงความกังวลผ่านไปยังคณะกรรมาธิการยุโรป ที่ได้ทำการศึกษาและปรับอัตราภาษีนำเข้าให้เหมาะสม เพื่อสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรมและยั่งยืน ซึ่งผลจากการศึกษาปัจจุบันคาดว่าอัตราภาษีนำเข้าควรจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 50
ที่มา: www.nzz.ch และ www.ft.com