รายงานการวิเคราะห์ดัชนีราคาผู้บริโภคที่เผยแพร่โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่าราคาอาหารนำเข้าไปยังประเทศไนจีเรียเพิ่มขึ้นเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อเดือนเมษายน 2567 แตะร้อยละ 33.69 โดยราคาเฉลี่ยของสินค้าอาหารนำเข้าไปยังไนจีเรียเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดถึงร้อยละ 34 ในหนึ่งปีระหว่างเดือนเมษายน 2566 ถึงเมษายน 2567 ซึ่งแสดงถึงการเพิ่มขึ้น 200 คะแนนพื้นฐานจากร้อยละ 32 ที่บันทึกไว้ในเดือนมีนาคม 2567 ทั้งนี้ รัฐบาลกลางได้ยกเลิกมาตรการห้ามนำเข้าอาหารซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ในการจัดการกับราคาอาหารที่สูงและความยากลำบากทางเศรษฐกิจที่สร้างปัญหาให้กับประเทศ
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยภายในและภายนอก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกภายหลังการระบาดใหญ่ของ Covid-19 และสงครามรัสเซีย-ยูเครน ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่พุ่งสูงขึ้น การขาดแคลนเงินตราต่างประเทศ และการอ่อนค่าของสกุลเงินท้องถิ่นในเวลาต่อมาทำให้ต้องมีการนำเข้าอาหารจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยในเดือนเมษายนฯ ไนจีเรียมีอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 16 ติดต่อกันซึ่งได้แรงหนุนจากอัตราค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นสามเท่าและค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้นด้วย โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้น 0.49 จุดต่อเดือนแต่ต่ำกว่าค่ามัธยฐานประมาณการของนักเศรษฐศาสตร์ในการสำรวจของบลูมเบิร์กที่ 34.2% และเมื่อเปรียบเทียบข้อมูลปีต่อปี อัตราเงินเฟ้อในเดือนเมษายน 2567 สูงกว่าเดือนเมษายน 2566 ร้อยละ 11.47 จุด นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมต้นทุนผลิตผลทางการเกษตรและพลังงาน เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 26.8 จากร้อยละ 25.9 และราคาอาหารเร่งตัวขึ้นเป็นร้อยละ 40.5 ในเดือนเมษายนฯ จากร้อยละ 40 ในเดือนก่อนหน้าโดยที่อัตราเงินเฟ้อด้านอาหารที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญอาจเนื่องมาจากราคาที่สูงขึ้นสำหรับสินค้าหลายประเภท รวมถึงแป้งลูกเดือย การ์รี ขนมปัง แป้งสาลีบรรจุหีบห่อ และเซโมวิต้า ซึ่งทั้งหมดอยู่ในกลุ่มขนมปังและซีเรียล เช่นเดียวกับหัวมันเทศ มันเทศน้ำ และโกโก้และอื่นๆ
สำหรับปีที่สิ้นสุดในเดือนเมษายน 2567 อัตราเงินเฟ้อด้านอาหารโดยเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ร้อยละ 32.74 ซึ่งเพิ่มขึ้น 9.52 จุดเปอร์เซ็นต์จากอัตราเฉลี่ยต่อปีที่ 23.22 เปอร์เซ็นต์ที่บันทึกไว้ในเดือนเมษายน 2566 ซึ่งโคกิยังคงเป็นรัฐที่มีราคาแพงที่สุด โดยมีอัตราเงินเฟ้อทุกรายการอยู่ที่ 40.84 เปอร์เซ็นต์ เทียบกับอัตราเงินเฟ้อด้านอาหารซึ่งอยู่ที่ 48.62 เปอร์เซ็นต์ และรายงานระบุว่ารัฐลากอสมีราคาอาหารและสินค้าทุกประเภทเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ร้อยละ 4.74 และ 4.52 ตามลำดับโดยนักเศรษฐศาสตร์จากบริษัท Financial Derivatives ให้ความเห็นเกี่ยวกับอัตราดังกล่าวโดยคาดว่าอัตราจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากแรงกดดันจากเงินไนร่าอ่อนค่าลงและราคาอาหารที่สูงขึ้นเป็นปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญซึ่งเลวร้ายลงอีกตามฤดูกาลซึ่งอาจบังคับให้ธนาคารกลางขึ้นอัตราดอกเบี้ย 50bps หรือเพิ่มขึ้น 100 จุดพื้นฐานซึ่งสอดคล้องกับธนาคารกลางอื่นๆ ส่วนใหญ่ในโลก
ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนที่สำคัญสองประการได้ส่งผลกระทบต่อการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อและจิตวิทยาในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาซึ่งรวมถึงราคาน้ำมันดีเซลและค่าเงินไนร่าในตลาดฟอเร็กซ์โดยที่ราคาน้ำมันดีเซลเคยพุ่งสูงถึง 1,700 ไนร่า/ลิตรซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจที่เพิ่มต้นทุนการผลิต/การขนส่ง รวมทั้งกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนผู้บริโภคที่ต้องรับสภาพค่าครองชีพที่สูงค่าอาหารและค่าบริการต่างๆแพงขึ้นตลอดจนบั่นทอนกำลังซื้อของผู้นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้