ตลาดผลิตภัณฑ์ยาทาเล็บได้รับความนิยมเป็นอย่างมากทั่วโลก โดยในปี 2566 มีมูลค่าอยู่ที่ 1.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าปี พ.ศ. 2567 มูลค่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้คาดการณ์ว่าจนถึงปี พ.ศ. 2573 ตลาดผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้จะมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 6.9 ต่อปี

ในปี พ.ศ. 2566 ทวีปที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดในโลกเรียงลำดับจากมากไปน้อย ดังนี้ อันดับ 1 ทวีปอเมริกาเหนือ ได้แก่ ประเทศสหรัฐฯ ประเทศแคนาดา และประเทศเม็กซิโก อันดับ 2 ทวีปยุโรป ได้แก่ ประเทศเยอรมนี ประเทศฝรั่งเศส ประเทศอังกฤษ ประเทศรัฐเซีย และประเทศอิตาลี อันดับ 3 ทวีปเอเชีย-แปซิฟิก ได้แก่ ประเทศจีน ประเทศญี่ปุ่น ประเทศเกาหลี ประเทศอินเดีย และกลุ่มประเทศตะวันออก

เฉียงใต้ อันดับ 4 ทวีปอเมริกาใต้ ได้แก่ ประเทศบราซิล ประเทศอาเจนตินา และประเทศโคลัมเบีย และทวีปสุดท้าย คือ ทวีปตะวันออกกลาง และทวีปแอฟริกา ได้แก่ ประเทศ ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ประเทศอียิปต์ ประเทศไนจีเรีย และประเทศแอฟริกาใต้ ตามลำดับ

สำหรับตลาดผลิตภัณฑ์ยาทาเล็บในสหรัฐฯ ปี 2566 มีมูลค่าอยู่ที่ 1.67 พันล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าในปี 2567 มูลค่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี

ตลาดผลิตภัณฑ์ยาทาเล็บในสหรัฐฯ

ประเภทของผลิตภัณฑ์ยาทาเล็บ

ประเภทของผลิตภัณฑ์ยาทาเล็บ แบ่งเป็น 6 ประเภท ได้แก่

  1. ยาทาเล็บแบบธรรมดา คือ ยาทาเล็บที่พบเห็นได้ทั่วไป ทาง่าย เกลี่ยง่าย แต่ไม่ติดทนนาน
    ล้างออก และลอกออกง่าย โดยมีอายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 1-2 สัปดาห์เท่านั้น
  2. ยาทาเล็บแบบเจล คือ ยาทาเล็บที่ต้องใช้ความร้อนจากเครื่องอบแสง UV ซึ่งยาทาเล็บชนิดนี้สามารถติดทนได้ค่อนข้างนานประมาณ 2-3 สัปดาห์
  3. ยาทาเล็บแบบอะคริลิค คือ ยาทาเล็บที่มีส่วนผสมของของเหลว และผง ทำให้สามารถปั้นทรงเล็บ และจัดแต่งได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้เพิ่มความยาวของเล็บได้อีกด้วย โดยสามารถติดทนอยู่ได้ประมาณ 2 สัปดาห์
  4. ยาทาเล็บแบบโพลีเจล คือ ยาทาเล็บที่คล้ายกับยาทาเล็บอะคริลิค ต่างกันตรงที่ยาทาเล็บชนิดนี้จะต้องถูกนำไปอบด้วยไฟ LED หรือ UV โดยสามารถติดทนได้ประมาณ 3 สัปดาห์
  5. ยาทาเล็บแบบผง คือ ยาทาเล็บที่ต้องนำเล็บไปจุ่มกับผงสีที่เตรียมไว้ โดยจุ่มผงสีทับซ้ำไปกว่าสีจะแน่น ซึ่งยาทาเล็บประเภทนี้นับว่าเป็นยาทาเล็บที่เพิ่มความแวววาว และความคงทนของตัวสีได้เป็นอย่างดี โดยสามารถติดทนได้นานถึง 3-4 สัปดาห์
  6. ยาทาเล็บแบบอื่นๆ อาทิ ยาทาเล็บประเภทเชลแลค คือ ยาทาเล็บที่มีส่วมผสมร่วมกันของยาทาเล็บแบบเจล และยาทาเล็บแบบอะคริลิค และยาทาเล็บแบบ PVC คือการนำเล็บปลอมที่ทาสีมาเรียบร้อยแล้วมาแปะทับไว้บนเล็บ ยาทาเล็บประเภทนี้เหมาะกับผู้ที่มีเวลาจำกัด และต้องการทำเล็บแบบเร่งด่วนปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดผลิตภัณฑ์ยาทาเล็บในสหรัฐฯปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวขับเคลื่อนตลาดผลิตภัณฑ์ยาทาเล็บในสหรัฐฯ คือ คนรุ่นใหม่ที่หันมาสนใจ และดูแลตัวเองเพิ่มขึ้น ส่งผลให้สินค้าที่เกี่ยวข้องกับความงามได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น และคาดว่าจะได้ความนิยมเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต โดยฐานผู้บริโภคส่วนมากนั้นเป็นเพศหญิงที่เกิดในช่วงปี 2524 ถึง 2540 (Millennials) ซึ่งผู้บริโภคกลุ่มนี้ไม่เพียงแต่ให้ความสนใจในตัวผลิตภัณฑ์ยาทาเล็บ แต่ยังสนใจในเรื่องการต่อเล็บ และการวาดลวดลายบนเล็บอีกด้วยข้อมูลจากเว็บไซต์ www.statista.com  ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูล สถิติ และวิจัยการตลาดเกี่ยวกับสินค้าและบริการ ระบุว่า ในปี 2567 หญิงชาวอเมริกันใช้ผลิตภัณฑ์ยาทาเล็บอยู่ที่ ประมาณ 102 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่มีผู้ใช้สินค้าชนิดนี้ อยู่ที่ 100 ล้านคน นอกจากนี้เว็บไซต์ดังกล่าวยังมีการเปิดเผยถึงข้อมูลค่าเฉลี่ยต่อหัวของการใช้ผลิตภัณฑ์ยาทาเล็บของชาวอเมริกันในปี 2567 ว่ามีการใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ อยู่ที่ 4.98 เหรียญสหรัฐ และมีเกณฑ์ที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 5.04 เหรียญสหรัฐในปี. 2568 และ 5.10 เหรียญสหรัฐในปี 2569

    ตลาดผลิตภัณฑ์ยาทาเล็บในสหรัฐฯ

    ส่วนแบ่งในตลาดผลิตภัณฑ์ยาทาเล็บในสหรัฐฯ

    บริษัทชั้นนำของโลกที่เป็นผู้ผลิต และเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดผลิตภัณฑ์ยาทาเล็บมีอยู่หลายบริษัท ซึ่งแต่ละบริษัทก็มีส่วนแบ่งการตลาดแตกต่างกันไปตามความนิยมของผู้บริโภค โดยในปีที่ผ่านมาได้มีการสรุปส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทเหล่านั้น ซึ่งส่วนแบ่งการตลาดผลิตภัณฑ์ยาทาเล็บรวมกันร้อยละ 50 ในสหรัฐฯ ตกเป็นของ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ ดังนี้ อันดับ 1 บริษัท Essie มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ ร้อยละ 23 อันดับ 2 บริษัท Chanel มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ร้อยละ 15 อันดับ และอันดับ 3 บริษัท Dior มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ร้อยละ 12 นับว่า 3 บริษัทดังกล่าวได้ถือครองส่วนแบ่งส่วนมากของมูลค่าตลาดแห่งนี้ ในขณะที่ส่วนแบ่งการตลาดอีกร้อยละ 50 นั้น มีบริษัทที่ถือส่วนแบ่งการตลาดรวมกัน ดังนี้ บริษัท OPI บริษัท Sally Hansen บริษัท Private Label บริษัท Bourjois บริษัท Lacosteบริษัท Revlon และ บริษัท Avon

    ช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาทาเล็บนั้น แบ่งเป็น 2 ช่องทาง คือ ช่องทางการจัดจำหน่ายแบบออฟไลน์ และช่องทางการจัดจำหน่ายแบบออนไลน์ โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา ผู้บริโภคชาวอเมริกันซื้อผลิตภัณฑ์ยาทาเล็บจากช่องทางการจัดจำหน่ายแบบออฟไลน์มากที่สุด ดังนี้ อันดับ 1 ร้านขายเครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์ดูแลผิว อันดับ 2 ซูเปอร์มาเก็ต และไฮเปอร์ซูเปอร์มาร์เก็ต (ร้านค้าปลีกที่รวมห้างสรรพสินค้า และซูเปอร์มาร์เก็ตเข้าด้วยกัน) อันดับ 3 ร้านขายยา และอันดับ 4 ร้านเสริมสวย ตามลำดับ

    อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันผู้บริโภคเริ่มหันมาซื้อผลิตภัณฑ์ยาทาเล็บผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายออนไลน์เพิ่มมากขึ้นตามแพลตฟอร์มและสื่อต่างๆ ได้แก่ เว็บไซต์ อินสตาแกรม เฟสบุ๊ค และติ๊กต็อก เป็นต้น โดยตั้งแต่ปี 2561 (2018) ถึง 2567 (2024) อัตราส่วนของการจำหน่ายระหว่างช่องทางแบบออนไลน์เพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และต่อเนื่องขึ้นทุกปี (ดังรูปภาพแนบด้านล่าง) นอกจากนี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 (2022) เทคโนโลยีของโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ถูกพัฒนาให้มีความเสถียร และเข้าถึงง่ายขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคนั้นนิยมซื้อผลิตภัณฑ์ยาทาเล็บผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่มากกว่าซื้อผ่านคอมพิวเตอร์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

     

    1. ตลาดผลิตภัณฑ์ยาทาเล็บในสหรัฐฯตลาดผลิตภัณฑ์ยาทาเล็บในสหรัฐฯ

     

    ความคิดเห็นของสคต.นิวยอร์ก

    สินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์ยาทาเล็บนับว่าเป็นสินค้าที่มีโอกาสสูงในประเทศสหรัฐฯ เนื่องจากชาวอเมริกันให้ความสำคัญการดูแลตนเองเป็นอย่างมาก หากผู้ประกอบการไทยสามารถวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาทาเล็บแบบ Organic หรือสินค้าที่ไม่มีส่วนผสมของสารเคมีก็จะเพิ่มโอกาสในการเจาะตลาดสหรัฐฯ นอกจากนี้ยังควรที่จะใส่ใจในด้านคุณภาพของสินค้า เพื่อให้สินค้ามีความน่าเชื่อถือในหลุ่มชาวอเมริกัน

     

    ที่มา: www.statista.com  / www.grandviewresearch.com / www.linkedin.com

    สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก

thThai