เมื่อวันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน 2024 นายกรัฐมนตรีมอสตาฟา มัดบูลี (Mostafa Madbouly) ยื่นใบลาออกต่อประธานาธิบดี อับเดล ฟัตตาห์ อัล ซีซี (Abdel Fattah al Sisi) สองเดือนหลังจากที่ ประธานาธิบดีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งสมัยที่ 3 โดยได้คะแนนเสียง 89.6% ในการเลือกตั้งเดือนธันวาคม 2566 ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่รัฐบาลจะต้องลาออกหลังประธานาธิบดีใหม่เข้ารับตำแหน่ง
โดยประธานาธิบดีประกาศว่า ยอมรับการลาออกของรัฐบาลชุดปัจจุบัน และมอบหมายให้มัดบูลีเลือกรัฐมนตรีที่มีความสามารถและประสบการณ์ เพื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่
ประธานาธิบดีมอบนโยบายให้รัฐบาลชุดใหม่ ได้แก่ ด้านสาธารณสุข ด้านการศึกษา ความมั่นคงของชาติ สานต่อนโยบายทางการเมือง เสถียรภาพด้านความมั่นคง การต่อสู้กับการก่อการร้าย การพัฒนาด้านวัฒนธรรม และแนวคิดด้านศาสนาในทางสายกลาง
รวมถึงการปฏิรูปเศรษฐกิจโดยมุ่งเน้นไปที่การดึงดูดและเพิ่มการลงทุนในประเทศและต่างประเทศ ส่งเสริมการเติบโตของภาคเอกชน ลดอัตราเงินเฟ้อ แก้ปัญหาราคาสินค้าที่สูงขึ้น และพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างครอบคลุมในทุกภาคส่วน
โดยประธานาธิบดียังมอบหมายให้รัฐบาลปัจจุบันปฏิบัติหน้าที่และภารกิจของตนต่อไปจนกว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่
ความเห็น/ข้อเสนอแนะ
ปัจจุบันอียิปต์กำลังเผชิญปัญหาทางเศรษฐกิจ ผลกระทบจากหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นในขณะนี้มากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) และค่าเงินที่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงจากผลกระทบจากสงครามของอิสราเอลในฉนวนกาซาและความตึงเครียดในทะเลแดงที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยประชากรจำนวนมากจากฉนวนกาซาถูกผลักเข้าสู่ด่านราฟาห์ ซึ่งมีพรมแดนติดกับอียิปต์ กระทบต่อภาคการท่องเที่ยว และคลองสุเอซที่เป็นแหล่งเงินตราต่างประเทศที่สำคัญของอียิปต์
การท่องเที่ยวเป็นแหล่งรายได้หลักของอียิปต์ สร้างรายได้ประมาณ 13.63 พันล้านดอลลาร์ (ปี 2565) และมีชาวอียิปต์ประมาณ 3 ล้านคนทำงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ก่อนที่สงครามของอิสราเอลในฉนวนกาซาจะเกิดขึ้น ภาคการท่องเที่ยวของอียิปต์กำลังจะฟื้นตัวจากผลกระทบโควิด-19 แต่ดูเหมือนว่าสงครามฉนวนกาซาและวิกฤตทะเลแดงอาจส่งผลกระทบต่อโอกาสในการสร้างรายได้จากอุตสาหกรรมนี้ โดยความขัดแย้งที่อยู่ใกล้กับคาบสมุทรซีนายของอียิปต์ทำให้การท่องเที่ยวลดลงอย่างมาก ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2566 ยอดจองการท่องเที่ยวลดลงถึงร้อยละ 25 ซึ่งมีแนวโน้มที่จะลดลงมากขึ้นหากความขัดแย้งยังคงมีอยู่ จากข้อมูลของ S&P Global Ratings รายได้จากการท่องเที่ยวของอียิปต์คาดว่าจะลดลง 10-30 เปอร์เซ็นต์จากปีที่แล้ว ซึ่งอาจส่งผลให้ประเทศต้องสูญเสีย 4-11 เปอร์เซ็นต์ของทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ และทำให้ GDP หดตัวลง
นอกจากนี้ การโจมตีด้วยขีปนาวุธและโดรนของกลุ่มฮูตีต่อเรือพาณิชย์ที่เชื่อมโยงกับอิสราเอลในทะเลแดง ส่งผลให้บริษัทขนส่งหลายแห่งเปลี่ยนเส้นทางเรือไปอ้อมแหลมกู๊ดโฮป ทำให้รายได้จากคลองสุเอซลดลงร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งคลองสุเอซสร้างรายได้ให้กับอียิปต์ 9.4 พันล้านดอลลาร์ ในปีงบประมาณ 2565/2566
ภาคการท่องเที่ยวและรายได้จากคลองสุเอซ ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งในภูมิภาคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงเป็นความท้าทายของรัฐบาลชุดใหม่ ในการแก้ปัญหาดังกล่าวที่กระทบต่อรายได้หลักของประเทศ ดังนั้น รัฐบาลอียิปต์จำเป็นต้องแสดงบทบาทผู้นำในภูมิภาค ทั้งในด้านความมั่นคงและด้านการทูต เพื่อสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นโดยเร็ว ปัจจุบันประธานาธิบดีอียิปต์ยังทำงานร่วมกับสหรัฐอเมริกา ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างอิสราเอลและฮามาส และการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมช่วยชีวิตชาวปาเลสไตน์
——————————————————-
https://www.aljazeera.com/news/2024/2/24/how-israels-war-on-gaza-is-bleeding-egypts-economy
https://www.africanews.com/2024/06/03/egypt-mustafa-madbouly-reappointed-as-prime-minister/